ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อได้ในกรอบ 1,630-1,645 จุด หลังวุฒิสภาสหรัฐบรรจุข้อตกลงขยายเพดานหนี้สหรัฐระยะสั้น-ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกดีดขึ้นต่อเนื่องยังคงหนุนหุ้นพลังงาน คืนนี้ติตตามสหรัฐประกาศตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ย.
วันที่ 8 ตุลาคม 2564 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดดัชนี SET Index เช้านี้มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อได้ในกรอบระหว่าง 1,630-1,645 จุด หลังได้ปัจจัยบวกหนุนจาก 1.วุฒิสภาสหรัฐบรรจุข้อตกลงขยายเพดานหนี้สหรัฐระยะสั้น และ 2.การดีดตัวต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก จะยังคงหนุนหุ้นพลังงานอิงทางบวกต่อได้
อย่างไรก็ดีอัพไซต์ของตลาดจะดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่นักลงทุนบางส่วนยังรอจับตาการกลับมาเปิดตลาดของตลาดหุ้นจีนเป็นวันแรกในวันนี้
หลังวันหยุดยาว Golden Week (1-7 ต.ค.) ซึ่งหากตลาดหุ้นจีนย่อตัวลงอาจกดดัน Sentiment ระยะสั้นในภูมิภาค
และคืนนี้รอติดตามตัวเลขการจ้างงานสหรัฐที่หากออกมาดีกว่าคาดการณ์ไว้จะยิ่งช่วยสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวแข็งแกร่ง ซึ่งอาจมีความกังวลการเร่งตัวของเงินเฟ้อ และการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เข้ามาจุด Sentiment ลงทุนได้
โดยวานนี้นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาพรรคเดโมแครต เปิดเผยว่าสามารถบรรลุข้อตกลงกับวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกันเกี่ยวกับการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐออกไปจนถึงต้นเดือน ธ.ค. 64 ทำให้ระยะสั้นเดือนนี้สหรัฐจะไม่ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งช่วยให้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกผ่อนคลายอีกครั้ง โดยเบื้องต้นสองฝ่ายเห็นสมควรขยายเพดานหนี้เพิ่มขึ้นอีก 480,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จาก 28.4 ไป 28.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)
อย่างไรก็ตาม จุดยืนของสองฝ่ายยังคงแตกต่างกัน โดยพรรคเดโมแครตต้องการให้ยกเลิกระดับเพดานหนี้ หรือขยายเพดานหนี้ออไปอย่างน้อยถึงสิ้นปี 65 ส่วนพรรครีพับลิกันต้องการกำหนดวงเงินเพดานหนี้ที่ตายตัว
ส่วนคืนนี้ติตตามสหรัฐประกาศตัวเลขการจ้างงานเดือน ก.ย. โดยตลาดคาดอัตราว่างงานจะลดลงมาที่ 5.1% และการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นกว่า 4.55 แสนราย ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะสูงกว่าคาด หลังตัวเลขการจ้างงานของเอกชนจาก ADP ขยายตัวสูงกว่าคาดและจำนวนผู้ขอสวัสดิการฯ สัปดาห์ก่อนลดลง สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐที่กลับมาเติบโตแข็งแกร่งอีกครั้ง ซึ่งอาจเร่งให้ FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าคาดในปีหน้า
จากข้อมูลล่าสุดนักวิเคราะห์ประเมิน FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในการประชุม FOMC เดือน ธ.ค. 65 มาที่บริเวณ 0.25-0.50% เป็นอย่างน้อย ส่วนการประชุม FOMC เดือน พ.ย. 64 คาดว่าจะมีการประกาศทำ QE Tapering อย่างเป็นทางการ
และปัจจัยในประเทศ รอผลสรุปการปรับเกณฑ์คำนวณดัชนี จากตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) หลังเปิดรับฟังความเห็นกรณีปรับเกณฑ์คำนวณดัชนีเป็นวันสุดท้ายในวันนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไม่ช้า