͸Ժ

ผู้เขียน หัวข้อ: ท็อปส์เผยนักชอปยุคโควิดทุบสถิติ จ่ายเงินผ่าน e-Payment พุ่งถึง 60%  (อ่าน 112 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ luktan1479

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 16766
  • การ์ม่า: +0/-0
    • ดูรายละเอียด


นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค ที่เรียกว่า Touchless Society คือไม่สัมผัสกับของใช้สาธารณะ สิ่งของต่างๆ ชำระค่าสินค้าแบบไร้การสัมผัส ซึ่งพบว่า e-Payments ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินสดของผู้บริโภค

จากข้อมูลธนาคารแห่งประไทย แม้คนไทยยังนิยมใช้เงินสด แต่การใช้ e-Payment มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นและเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในปี 2563 สถิติเฉลี่ยแล้วคนไทยใช้ e-Payment มากถึง 151 ครั้งต่อคนต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าจากปี 2559 ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยหลักที่เป็นตัวเร่งมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนเลี่ยงการสัมผัส ลดการใช้เงินสด เปลี่ยนพฤติกรรมในการชำระค่าสินค้า จนเป็นเทรนด์ใหม่ของผู้บริโภคเข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment)

จากสถิติดังกล่าว บริษัทฯ เล็งเห็นและคาดการณ์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่ไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่เป็นเทรนด์ของทั่วโลก จึงได้มีการเก็บข้อมูลการชำระค่าสินค้าผ่าน e-Payment ของลูกค้าท็อปส์ และแฟมิลี่มาร์ท พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ปี 2562 ก่อนการระบาดโควิด จนถึงปัจจุบันในปี 2564 เมื่อพิจารณาสัดส่วนการชำระค่าสินค้าพบว่าลูกค้าเลือกชำระผ่าน e-Payment สูงถึง 60% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีการใช้จ่ายผ่าน e-Payment 50% จากสัดส่วนการชำระค่าสินค้าโดยไม่ใช้เงินสดที่เติบโตมากขึ้น ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบชำระเงินที่ใช้เงินสดเป็นหลักไปสู่การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เพราะเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับมากกว่าการใช้เงินสด เช่น การชำระผ่านแอปพลิเคชัน Dolfin ที่มีส่วนลดพิเศษ, รับ Cash Back เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตต่างๆ การสะสมคะแนน รวมถึงการชำระด้วย e-Gift Card หรือโปรโมชันอื่นๆ เฉพาะสมาชิกบัตรเท่านั้น



นอกจากนี้ ยังพบสถิติที่น่าสนใจเพิ่มเติม ได้แก่ ลูกค้าท็อปส์ที่ใช้ e-Payment มากที่สุดอยู่ในกลุ่มอายุ 35-44 ปี รองลงมาคือ อายุ 45-54 ปี และ 25-34 ปีตามลำดับ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ถือเป็นลูกค้าหลักของการใช้จ่ายในซูเปอร์มาร์เกตอยู่แล้ว จากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่า การใช้ e-Payment นั้นครอบคลุมทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 45-54 ปี ที่เริ่มคุ้นเคยกับการใช้จ่ายโดยไม่ใช้เงินสดมากขึ้น

ปัจจุบัน “ท็อปส์ และแฟมิลี่มาร์ท” รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น QR Payment ผ่าน Mobile Banking และพร้อมเพย์, RFID Ship Card, e-Wallet ต่างๆ เช่น Dolfin, Rabbit LINE Pay, Alipay, WeChat Pay รวมไปถึงการชำระเงินผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญและมองหาสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่าถึงทุกการใช้จ่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่น ชำระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน Dolfin ครบ 800 บาท รับคูปองส่วนลดทันที 50 บาท ตั้งแต่วันที่ 1-30 กันยายน 2564 หรือสมาชิกเดอะวัน เพียงมียอดซื้อสินค้าครบ 800-1,499 บาทต่อใบเสร็จ และเลือกชำระผ่าน e-Payment รับคูปองส่วนลด 100 บาทสำหรับการซื้อสินค้าในครั้งถัดไป นอกจากนั้น ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment) จะเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่องเพราะผู้บริโภคเกิดความคุ้นเคย ทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น”



นายสเตฟานกล่าวเพิ่มเติมถึงการคาดการณ์เทรนด์ในอนาคตของธุรกิจค้าปลีกหลังสถานการณ์โควิด-19 ว่า “ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป Touchless Society จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจ ทั้งระบบ Online Business และ Financial Business โดยสัดส่วนของการใช้ e-Payment จะเพิ่มเป็นร้อยละ 80 แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนจะเข้ามามีบทบาทแทน Credit card และ Physical card โดยผู้บริโภคเกือบทั้งหมดจะหันมาใช้ e-Wallet หรือ e-Payment แทน ซึ่งสะดวกและปลอดภัยมากกว่าเดิม ใบเสร็จรับเงินจะถูกส่งให้ลูกค้าโดยตรงผ่านโทรศัพท์มือถือแทนการออกใบเสร็จฯ ที่เป็นกระดาษ รวมไปถึงคูปองส่วนลดต่างๆ และในอนาคตลูกค้าสามารถใช้โทรศัพท์มือถือสแกนบาร์โค้ดบนผลิตภัณฑ์ได้เอง แล้วจึงนำมารวมยอดชำระที่เคาน์เตอร์ผ่านระบบ e-Payment ซึ่งระบบนี้จะช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวเพื่อชำระเงินค่าสินค้า ซึ่งท็อปส์ และแฟมิลี่มาร์ทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและการบริการอยู่เสมอ ให้สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันรวมไปถึงอนาคต เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดและรักษาไว้ซึ่งการเป็นผู้นำซูเปอร์มาร์เกตทั้งแบบออฟไลน์ และออนไลน์