รอยเตอร์ - ผู้อยู่อาศัยในนครโฮจิมินห์มากกว่า 10 ล้านคน จะต้องอยู่ภายใต้
มาตรการเคอร์ฟิวในเวลากลางคืนอย่างเข้มงวดตั้งแต่วันนี้ (26) ความเคลื่อนไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเพื่อควบคุมการติดเชื้อ ในขณะที่เวียดนามต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
หลังประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดในปีที่ผ่านมา ประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้กำลังเผชิญกับจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ที่เป็นผลจากโควิดสายพันธุ์เดลตา
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางภาคเหนือ และนครโฮจิมินห์ในภาคใต้ ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันมากกว่า 62,000 คน นับตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ทำให้เวลานี้เวียดนามมีผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสมรวมทั้งสิ้น 101,000 คน
ทางการได้จำกัดการเคลื่อนไหวในศูนย์กลางเศรษฐกิจที่เคยคึกคักแห่งนี้มานานกว่า 2 เดือน และกำหนดมาตรการล็อกดาวน์ในต้นเดือน ก.ค. ซึ่งผู้อยู่อาศัยได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านเฉพาะกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์และหาซื้ออาหารเท่านั้น
แต่ตั้งแต่วันจันทร์ (26) เป็นต้นไป คำสั่งอยู่กับบ้านที่เข้มงวดมากขึ้นนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 6.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะใช้คำว่าเคอร์ฟิว และยังไม่ได้ประกาศวันสิ้นสุดของการบังคับใช้มาตรการนี้
“การบังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นจะต้องเพิ่มการลาดตระเวน และออกบทลงโทษที่เหมาะสมกับผู้กระทำความผิด แม้กระทั่งการควบคุมตัวในกรณีที่มีการต่อต้าน” นายกเทศมนตรีนครโฮจิมินห์ ระบุ
ทางการได้ระงับการขนส่งสาธารณะเกือบทั้งหมดที่เชื่อมกับนครโฮจิมินห์ และผู้เดินทางที่มีต้นทางมาจากนครโฮจิมินห์จะต้องพักอยู่ในศูนย์กักกันโรคเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
ปัจจุบัน มากกว่า 1 ใน 3 ของประชากร 100 ล้านคนของประเทศอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งชาวกรุงฮานอยทางตอนเหนือของประเทศด้วย
และในวันนี้ (26) เจ้าหน้าที่ทหารได้ขับรถไปตามถนนสายสำคัญต่างๆ ทั่วเมือง และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อขณะขับผ่านอาคารประวัติศาสตร์และทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยเจ้าหน้าที่ของกองทัพได้เปิดเผยกับเอเอฟพีว่า การฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อจะดำเนินการต่อไปอีก 3 วัน
เวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวในปีที่ผ่านมา เนื่องจากประสบความสำเร็จในการควบคุมเชื้อไวรัสระหว่างการระบาดระลอกแรก
แต่ประเทศกลับล่าช้าในการจัดหาและแจกจ่ายวัคซีน โดยมีวัคซีนเพียง 4.7 ล้านโดสที่ได้ฉีดให้ประชาชนไปแล้วจนถึงตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ทางการเวียดนามระบุว่า พวกเขาหวังให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ภายในต้นปี 2565.