(https://sv1.picz.in.th/images/2020/11/09/blMwBP.md.jpg) (https://bit.ly/2GG6J1q)
เป็นที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว หมายเลข IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) เป็นสิ่งที่ใช้ระบุตำแหน่งของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อรับส่งข้อมูล แน่นอนหมายเลขของแต่ละเครื่องจะไม่ซ้ำกัน แต่ว่าในปัจจุบันจำนวนอุปกรณ์นั้นมีเพิ่มมากขึ้น และการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตก็มากขึ้นเช่นกัน ทำให้หมายเลข IP ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ดังนั้น NAT (https://bit.ly/2GG6J1q) จึงเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหา IP ของผู้ใช้เพื่อให้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ และยังเพิ่มความปลอดภัยในเครือข่ายได้อีกด้วย
NAT คืออะไร
NAT (https://bit.ly/2GG6J1q) เป็นคำที่ย่อมาจาก Network Address Translation (https://bit.ly/2GG6J1q) เป็นมาตรฐานหนึ่งของ RFC ถูกเขียนขึ้นในปี 1994 โดยสามารถแปลง (translation) IP หลายๆ ตัวที่ใช้ภายในเครือข่ายให้ติดต่อกับเครือข่ายอื่นโดยใช้ IP เดียวกันตัวอย่างเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) เป็น 192.168.1.28 ซึ่งเป็น Private IP ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลภายในองค์กรแต่เมื่อใดที่เราต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ต เราเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ทำเป็น NAT (https://bit.ly/2GG6J1q) Device จะแปลงหมายเลข IP นั้นเป็นหมายเลขอื่นเพื่อเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ต(https://www.pi-tech.biz/images/editor/banner_content/2020_10_26/nat-01-01.jpg)สรุปก็คือ NAT (https://bit.ly/2GG6J1q) เป็นการแปลงหมายเลข IP แบบ Private IP ให้กลายเป็น Public IP เพื่อให้สามารถเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งหมายเลขเหล่านี้จะเป็นหมายเลขแบบสุ่มที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) จะเป็นผู้กำหนดเอาไว้ให้ อีกทั้งการทำ NAT (https://bit.ly/2GG6J1q) ยังช่วยในการรักษาความปลอดภัยให้แก่เครือข่ายภายในอีกด้วย คือสามารถใช้การทำ NAT (https://bit.ly/2GG6J1q) สำหรับการซ่อน IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) ของเครือข่ายแต่ละส่วนไว้ได้อีกด้วย
รูปแบบการทำ NAT
การทำ NAT (https://bit.ly/2GG6J1q) หลักๆ จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ดังต่อไปนี้
Static NAT
เป็นการแปลงหมายเลข IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) แบบ one to one คือ IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) ของเครื่องภายในหนึ่งหมายเลขจะทำการแปลงไปเป็น IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) ของเครือข่ายภายนอกหนึ่งหมายเลข ส่วนมากจะใช้งานกับเครื่อง Server ที่อยู่ในเครือข่ายภายใน ที่ต้องการเข้าใช้งานจากเครือข่ายภายนอก
(https://www.pi-tech.biz/images/editor/banner_content/2020_10_26/nat-02-01.jpg)
จากในรูปจะเห็นว่าการทำ Static NAT (https://bit.ly/2GG6J1q) เป็น การจับคู่ IP Address แบบ Private (https://bit.ly/2GG6J1q) เข้ากับ IP Address แบบ Public (https://bit.ly/2GG6J1q) แบบ one to one เช่น IP Address 192.168.1.21 จะถูกแปลงไปเป็น 201.108.10.31 และ 192.168.1.21 จะถูกแปลงไปเป็น 212.122.34.51 เสมอ เมื่อต้องการเข้าสู่ Public Network หรือ Internet
Dynamic NAT
เป็นการแปลงหมายเลข IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) แบบ many to many คือ IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) ของเครื่องภายในเครือข่ายหลาย ๆ เครื่องจะทำการแปลงไปเป็น IP Address ของเครือข่ายภายนอกหลาย ๆ หมายเลข โดยการแปลงหมายเลข IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) นั้นจะทำตามลำดับ คือ IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) ของเครื่องในเครือข่ายภายในที่มาก่อนก็จะทำการแปลงเป็น IP Address ของเครือข่ายภายนอกในอันดับต้น ๆ ก่อน โดยถ้ามี IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) ของเครือข่ายภายนอก 3 IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) เครื่องในเครือข่ายภายในก็จะสามารถติดต่อสื่อสารได้เพียง 3 เครื่องในเวลาหนึ่ง ๆ เท่ากัน
(https://www.pi-tech.biz/images/editor/banner_content/2020_10_26/nat-03-01.jpg)
จากในรูปเราจะเห็นได้ว่า IP Address แบบ Private (https://bit.ly/2GG6J1q) ที่ใช้งานก่อนจะถูกแปลงไปเป็น IP Address แบบ Public (https://bit.ly/2GG6J1q) ที่ว่างอยู่เป็นอันดับแรกในช่วงที่กำหนดไว้ เช่น IP Address 192.168.1.15 ได้เข้าใช้งานเป็นอันดับแรก จึงได้ถูกแปลงไปเป็น IP Address แบบ Public (https://bit.ly/2GG6J1q) ที่ว่างเป็นอันดับแรกของช่วงที่กำหนดไว้ นั่นก็คือ 201.108.10.31 และเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) 201.108.10.31 นี้ก็อาจจะจับคู่กับ Private IP Address (https://bit.ly/2GG6J1q) อื่น ๆ แทนก็ได้