͸Ժ

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - guupost

หน้า: [1] 2
1
kardinal จาก kardinalthailand.com
เชิญทุกท่านพบกับนวัตกรรมในการช่วย เลิกบุหรี่ได้ถาวร อย่าง Kardinal Stick ( Ks Pod ), Kardinal Kurve ( Ks Kurve ),และ KS Xense
ที่ข่วยให้คุณนั้นสามารถเลิกบุหรี่ได้อย่างง่ายดายเห็นผลได้ใน 7 วัน
เว็บไซต์ : https://kardinalexclusive.com







kurve pod

2


แม้ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตจะเข้ามามีบทบาทกับการใช้ชีวิตของผู้คนมากขึ้น การรับชมสิ่งต่าง ๆ ทำได้ง่ายผ่านโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ แต่ทีวีเองก็ยังนับเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าสำคัญที่ทุกบ้านต้องมีติดเอาไว้ ด้วยการเพิ่มอรรถรสที่มากกว่า ความคมชัดที่ดูแล้วเพลิน ยิ่งปัจจุบันทีวีเองก็มีฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้นอีกหลายด้านด้วย ดังนั้น “ตู้วางทีวี” จึงเป็นอีกเฟอร์นิเจอร์ที่ทุกบ้านจะขาดไม่ได้เลย ว่าแต่ควรเลือกแบบไหนให้เหมาะสมกับบ้านหรือห้องของตนเอง มาดูกัน
1. แบบทรงเตี้ย
เป็นชั้นวางที่จะมีลักษณะเตี้ย ขาสั้น ฐานต่ำกว่าชั้นวางปกติ มักได้รับความนิยมสำหรับคนที่ชอบการรับชมทีวีกับพื้น นั่งพื้น นอนเล่นบนฟูกแบบไม่มีเตียง เน้นความสะดวกสบายของผู้รับชมเป็นหลัก ส่วนมากชั้นวางประเภทนี้จะถูกใช้งานกับห้องนอนมากกว่า ข้อดีคือ มีความกะทัดรัด เคลื่อนย้ายง่าย หรือใครที่อยู่หอพัก คอนโดมีเนียม แล้วต้องย้ายบ่อย ชั้นวางแบบนี้จะดีมาก

2. แบบตู้โชว์
ตู้วางทีวี แบบต่อมาจะเป็นลักษณะของตู้ที่มีชั้นวางด้านข้างให้อารมณ์เหมือนกับตู้โชว์ผสมลงไปด้วย จัดเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย อาทิเช่น มีช่องวางแบบตู้กระจกสำหรับใช้วางของโชว์ เกียรติบัตร ถ้วยรางวัล ภาพสวย ๆ, มีลิ้นชักสำหรับเก็บของ, มีช่องวางอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น ถือว่าซื้อมาแล้วใช้ได้คุ้มค่าสุด ๆ ไม่ต้องซื้อตู้โชว์แยกต่างหากให้ยุ่งยากด้วย

3. แบบบิวท์อิน
เป็นรูปแบบของ ชั้นวางทีวี ที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกับบ้านยุคใหม่ที่มีการออกแบบสไตล์โมเดิร์น ลักษณะคือสถาปนิกจะทำการออกแบบให้ชั้นวางเข้าไปอยู่ในผนังเลย ไม่มีส่วนไหนยื่นออกมา และช่างที่ทำก็จะทำตามวิธีออกแบบดังกล่าว จุดดีคือ ช่วยให้บ้านดูทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งยังประหยัดพื้นที่ภายในบ้านให้ใช้งานด้านอื่น ๆ ได้อีกเพียบ

4. แบบเข้ามุม
เป็นอีกประเภทของ โต๊ะวางทีวี ที่เหมาะสำหรับบ้านมีพื้นที่จำกัด หรือตามหอพัก คอนโด ในห้องนอน ด้วยการใช้มุมของห้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยเพิ่มพื้นที่อื่น ๆ ได้อีกเยอะ ลักษณะจะเป็นคล้ายโต๊ะทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรเยอะมากนัก ระดับความสูงก็ขึ้นอยู่กับระดับสายตาที่รับชม บางรุ่นอาจมีชั้นวางของด้านล่างเพิ่มเติมด้วย เป็นต้น

ทั้งหมดนี้เป็นรูปแบบพื้นฐานของ ตู้วางทีวี ที่พบเห็นได้บ่อย ๆ ใครมีลักษณะบ้าน ห้องพักอย่างไรก็เลือกให้พอเหมาะกับตนเอง เพื่อประโยชน์สูงสุด และยังได้รับชมทีวีในท่วงท่าที่สบายตา จะรายการไหนก็มีความสุข ผ่อนคลายไปกับความบันเทิงที่คุณชื่นชอบกันได้เลย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/FUR0807

3


ปฏิเสธไม่ได้ว่า “โต๊ะ” คือ เฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ทุกแห่งต้องมีเอาไว้ใช้งาน ไม่ใช่แค่ประโยชน์ในด้านการวางของอย่างเดียว แต่ยังช่วยในเรื่องของการสร้างความเป็นระเบียบ ความสวยงาม กินความยังนำไปใช้ในเรื่องอื่นได้อีกไม่รู้จบ แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ อุปกรณ์ชนิดนี้มีการนำเอาวัสดุมาผลิตหลากหลายมาก ฉะนั้นจะเลือกซื้อเลือกหาชนิดไหนให้เหมาะสมกับตนเองก็ต้องเริ่มจากการรู้คุณสมบัติของวัสดุประเภทนั้นให้ดีเสียก่อน
1. ไม้แท้
เป็นวัสดุที่ได้จากธรรมชาติคือไม้แท้ ๆ ไม่มีการผสมสิ่งใดเพิ่มเติมเข้าไป ในอดีต ไม้สัก นับว่าเป็นประเภทไม้ที่ได้รับความนิยมสูงมาก เนื่องมาจากมีความแข็งแรง ทนทาน ไม่มีปัญหาเรื่องปลวก มอด แต่ปัจจุบันด้วยราคาที่สูง บวกกับกฎหมายที่ออกมา จึงทำให้ไม้แท้ที่ใช้เปลี่ยนเป็นประเภทอื่น อย่างเช่น ไม้เต็ง, ไม้รัง, ไม้แดง, ไม้ยางพารา ซึ่งความแข็งแรงก็ยังคงเป็นจุดเด่น ตามด้วยลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ แต่อาจต้องระวังเรื่องน้ำ ความชื้น และปลวก มอด เอาไว้ด้วย

2. ไม้เทียม
คำว่าไม้เทียมจริง ๆ แล้วมีหลายประเภทมากที่นำมาใช้ในการผลิต โต๊ะ อย่างเช่น ไม้ MDF, ไม้อัด, ไม้ Partical ฯลฯ ต้องบอกว่าด้วยความที่ไม้จำพวกนี้มักใช้เศษไม้แล้วผสมกับวัสดุอื่น ๆ จึงทำให้คุณภาพที่ได้อาจไม่แข็งแรงเท่ากับไม้แท้ แต่ก็ยังพอมีลวดลายสวยงาม ใช้งานได้ดี ราคาประหยัด แต่ต้องระวังเรื่องน้ำ ความชื้น และการรับน้ำหนักของด้วยเหมือนกัน

3. เหล็ก
เป็นอีกวัสดุที่พบเห็นได้บ่อยทั้งการนำมาใช้ทำ โต๊ะอเนกประสงค์ และประเภทอื่น ๆ จุดเด่นคือ เหล็กจะมีความแข็งแรง ทนทาน รับน้ำหนักได้ดีมาก แต่ทั้งนี้อาจต้องระวังเรื่องของสนิมด้วย บวกกับราคาที่สูงเมื่อเทียบกับวัสดุอีกหลายประเภท จึงต้องเลือกซื้อเลือกหาให้ดี

4. สแตสเลส / อลูมิเนียม
เป็นส่วนผสมระหว่างเหล็กกับสารประกอบชนิดอื่น ๆ ที่จัดว่าได้รับความนิยมมาก ความพิเศษคือ มีน้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย ไม่เป็นสนิม รับน้ำหนักได้ดี ราคาไม่แพงมาก จึงมีคนใช้งานเยอะ แต่ทั้งนี้ก็อาจต้องเลือกวัสดุที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานด้วย

5. พลาสติก
แน่นอนว่าความโดนเด่นของพลาสติกจะอยู่ที่เรื่องน้ำหนัก ขนย้ายง่ายดาย ราคาไม่แพง สร้างลวดลาย สีสันต่าง ๆ ได้เยอะ แต่การรองรับน้ำหนักจะสู้แบบอื่นไม่ได้ รวมไปถึงอายุการใช้งานมักสั้นกว่า จึงถูกนำมาใช้งานแบบชั่วคราว หรือใช้เป็นบางครั้ง ได้แก่ โต๊ะพับ[ ใช้แล้วเก็บเข้าที่ เป็นต้น

ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อเลือกหา โต๊ะ สักตัวเพื่อนำไปใช้งาน ห้ามลืมพิจารณาว่าหลัก ๆ แล้วจะใช้ในเรื่องใดเป็นพิเศษ วางตรงไหน รองรับน้ำหนักเยอะหรือเปล่า เพื่อการใช้งานอันคุ้มค่าคุ้มราคา ยาวนาน ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อใหม่บ่อย ๆ นั่นเอง

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/FUR0905

4


อย่างที่ทราบกันว่าสภาพอากาศของบ้านเรานั้นแสนร้อนเหลือเกิน การมีบ้านสักหลังไม่ว่าใครต่างก็ปรารถนาให้เย็นสบายทั้งนั้น นอกจากการติดแอร์ หรือการทำบ้านให้โปร่ง โล่ง การติดตั้ง “ฉนวนกันความร้อน” ก็เป็นอีกทางเลือกดี ๆ ที่จะช่วยให้บ้านของท่านเย็นขึ้นได้จริง แถมยังมีความคุ้มค่าในด้านอื่น ๆ ที่หลาย ๆ คนอาจไม่เคยทราบ เรียกว่าลงทุนเพิ่มเงินติดอีกสักนิดแล้วชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น
1. ช่วยป้องกันความร้อนได้ในทุกช่วงวัน
แม้บางท่านจะพยายามเลือกทิศทางของบ้านให้ดีที่สุดเพื่อลดความร้อน หรือมีการปลูกต้นไม้ใหญ่ แต่ด้วยสภาพอากาศยิ่งในช่วงหน้าร้อนนั้นสุดบรรยายจริง ๆ การติดตั้งฉนวนเพื่อป้องกันความร้อนจะช่วยลดทอนอุณหภูมิที่ส่งลงมาจากดวงอาทิตย์ก่อนถึงภายในบ้านได้อีกชั้น บ้านจึงเย็นขึ้น ไม่ว่าช่วงไหนของวันก็ไร้กังวล ไม่ต้องกลัวว่าอยู่ในบ้านแล้วจะอบอ้าวเลย

2. ช่วยลดเสียงดังที่เข้ามาในบ้านได้ด้วย
ไม่ใช่แค่เรื่องของการป้องกันความร้อนเท่านั้น แต่วัสดุชนิดนี้ยังจัดเป็น ฉนวนกันเสียง ลดเสียงรบกวนจากภายนอกบ้านไม่ให้ผ่านเข้ามาอีกด้วย ยิ่งบ้านหลังไหนที่อยู่ติดกับโรงงาน บ้านทาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม ที่รู้สึกว่าเสียงข้างบ้านจะดังเข้ามารบกวนการใช้ชีวิต แค่ติดตั้งฉนวนตัวนี้นอกจากกันความร้อนยังกันเสียงได้จริง มีความสงบ เป็นส่วนตัวมากขึ้น

3. ช่วยเซฟค่าไฟในบ้านได้เยอะ
ลองเทียบดูว่าหากท่านต้องเปิดเครื่องปรับอากาศแทบทั้งวันเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน ค่าไฟที่ออกมาคงหนักหนากันพอควร ดังนั้นเมื่อลงทุนติดตั้ง แผ่นกันความร้อน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ลงไปได้เยอะมาก ๆ ไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศตลอด สามารถนำเงินค่าไฟที่เหลือไปใช้ทำประโยชน์ด้านอื่น ๆ ได้อีกเพียบ

4. เป็นวัสดุไม่ลามไฟ ปลอดภัยกว่าเดิม
อีกความคุ้มค่าคุ้มราคาของการเลือกติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ให้กับตัวบ้านคือ วัสดุประเภทนี้จัดเป็นวัสดุกลุ่มไม่ลามไฟ ไม่เป็นชนวนของไฟและความร้อน ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันจะช่วยป้องกันในระดับหนึ่งให้การดับไฟเป็นเรื่องง่าย ลดความเสียหายของตัวบ้านได้เยอะมาก

5. ราคาไม่แพง ใช้งานยาวนาน
ท้ายที่สุดฉนวนประเภทกันความร้อนถือเป็นวัสดุที่ราคาไม่สูงมากนัก แถมเมื่อเลือกแบรนด์ที่คุณภาพดี ๆ ยังใช้งานได้ยาวนานเป็น 10 ปี ไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนใหม่บ่อย ๆ อีกด้วย

เมื่อรู้แบบนี้แล้วบ้านหลังไหนที่ต้องเผชิญกับความร้อนในทุก ๆ วัน หรือใครมีแผนจะปลูกสร้างบ้าน ไม่ควรพลาดติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน เอาไว้ด้วย ประหยัดไฟ อยู่แล้วสบายใจ มีความสุขสุด ๆ

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/CON06

5


เชื่ออย่างยิ่งว่าทุกบ้านคงต้องมีอุปกรณ์อย่าง “กระจก” ติดเอาไว้อยู่แล้ว เพื่อเป็นการส่องความพร้อมของตนเอง ตรวจสอบร่างกาย ใบหน้า การแต่งตัว ว่าดีพอในการออกข้างนอกในแต่ละวันหรือยัง แต่เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องเกิดความสกปรกขึ้น คำถามคือ จะแก้ปัญหาอย่างไรให้กลับมาเงา น่าใช้งาน มองแล้วไม่ขัดตา จึงขอแนะนำแทคติกง่าย ๆ ในการทำความสะอาดมาฝากให้ใสกริ๊ง เหมือนได้ของใหม่เลย
1. น้ำยาล้างจานในบ้าน
ทุกบ้านต้องมีน้ำยาล้างจานอยู่แล้ว วิธีง่ายมากคือ นำน้ำยาล้างจาน 3-4 หยด ผสมกับน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวง ตามด้วยการใส่น้ำสะอาดลงไป 1 ถ้วยตวง กวนทุกอย่างให้เข้ากันใส่ขวดแบบสเปรย์ นำไปฉีดพ่นลงบน กระจก ที่ต้องการเช็ดทำความสะอาด แค่ขัดเบา ๆ ก็รับรองว่าใสเงางาม น่ามอง น่าส่องสุด ๆ ไปเลย

2. น้ำส้มสายชูทีเด็ด
น้ำส้มสายชูจัดเป็นเครื่องปรุงรสที่อยู่กับชาวไทยมานาน แต่นอกจากการทำเมนูอาหารแล้วยังสามารถสร้างความสะอาดได้อีกด้วย วิธีคือ เทผสมลงไปในน้ำเปล่าโดยให้น้ำมากกว่า ผสมให้เข้ากันแล้วเทใส่ขวดสเปรย์ ฉีดเช็ดเบา ๆ เพียงเท่านี้ก็น่ามองแล้ว

3. น้ำมะนาวก็ช่วยได้
อีก 1 วัตถุดิบที่ครัวไทยทุกบ้านยังไงก็ต้องมี แต่เราจะไม่นำไปทำอาหารอย่างเดียว เพียงแค่บีบน้ำมะนาวให้ได้ราว 2 ช้อนโต๊ะ เทน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวง ใส่น้ำสบู่ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ กวนให้เข้ากัน เทใส่ขวดสเปรย์ ฉีดพ่นลงไปบริเวณ กระจก ที่ต้องการทำความสะอาด เท่านี้ความเงางามก็จะเกิดขึ้นได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย

4. แป้งข้าวโพดก็ทำความสะอาดได้
วัตถุดิบอย่างแป้งข้าวโพดก็สามารถใช้ทำความสะอาด กระจกเงา ได้ง่ายมาก ๆ ให้ใส่น้ำอุ่น 2 ถ้วยตวง แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน เทใส่ขวดสเปรย์ เติมน้ำส้มสายชูและแอลกอฮอล์เล็กน้อยปริมาณเท่ากัน เขย่าซ้ำอีกรอบแล้วฉีดลงไป รับรองว่าสะอาดเอี่ยม ไม่มีคราบสกปรกใด ๆ ติดแน่นอน

5. เบกกิ้งโซดา ขจัดได้ทุกความสกปรก
ปิดท้ายกันด้วยวิธีสุดคลาสสิกอย่างการใช้เบกกิ้งโซดา อันถือเป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดแบบบ้าน ๆ ที่ครอบคลุม เริ่มต้นจากใส่น้ำเปล่าสะอาด 3 ถ้วยตวง น้ำมะนาว 1 ถ้วยตวง เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน เทลงขวดสเปรย์ก็ฉีดทำความสะอาดได้เลย

ที่จริงแล้วยังมีอีกหลายแทคติกมาก ๆ สำหรับการทำความสะอาด กระจกห้องน้ำ หรือประเภทอื่น ๆ นอกจากทำให้เกิดความเงา ส่องแล้วมองเห็นชัดเจน ยังเสริมความมั่นอกมั่นใจให้กับทุก ๆ คนเมื่อต้องส่องเพื่อเช็คตนเองให้พร้อมก่อนไปนอกบ้านได้อีกด้วย

ติดต่อสอบถามได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/BAT03

6


หลังทำอาหาร รับประทานข้าวเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องล้างจานเพื่อให้เกิดความสะอาด ไม่ทิ้งสิ่งสกปรกอันเป็นสาเหตุของบรรดาแมลงสาบ หนู มด เข้ามากวนใจในบ้านของใครก็ตาม “อ่างล้างจาน” จึงเป็นอุปกรณ์ครัวอีกประเภทที่ขาดไม่ได้ในทุกบ้าน แต่คำถามคือในการเลือกซื้อเลือกหามาใช้งานควรเลือกแบบไหนที่เหมาะสมมากที่สุด ใช้แล้วตอบโจทย์ คุ้ม ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่บ่อย ๆ มาหาคำตอบกันตรงนี้ได้เลย
1. ขนาดเหมาะกับพื้นที่และการใช้งาน
อย่างแรกที่ต้องพิจารณานั่นคือเรื่องของขนาด โดยให้คำนวณพื้นที่ในการจัดวาง พอถึงเวลาไปซื้อก็ให้เลือกขนาดที่เหมาะสำหรับพื้นที่นั้น เพื่อเวลานำมาตั้งวางแล้วจะได้พอดี ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป ยิ่งถ้าเป็นแบบฝังถือว่าการวัดขนาดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย เนื่องมาจากตัวเคาน์เตอร์จะถูกออกแบบมาให้พอดีแล้ว หากผิดพลาดก็เหมือนกับต้องรื้อทำใหม่หมด หรืออาจต้องซื้ออันใหม่มาแทน

2. วัสดุที่นำมาผลิต
เรื่องวัสดุสำหรับคนที่จะหาซื้อ ซิงค์ล้างจาน ถือเป็นอีกปัจจัยในการวัดคุณภาพว่าจะได้ตามสิ่งที่ตนเองคาดหวังหรือไม่ หลัก ๆ แล้วควรเลือกวัสดุประเภทสแตนเลสหรืออลูมิเนียม เพราะว่าไม่มีปัญหาเรื่องของสนิม แข็งแรง ทนทาน รับน้ำหนักได้ดี ใช้งานคุ้มค่ามาก และยังดูแลทำความสะอาดง่าย ไม่เหนื่อย

3. จำนวนหลุม
ปกติหากนึกถึงอ่างก็จะมีแบบ 1 หลุม กับ 2 หลุม ซึ่งตรงนี้จะขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบ้านด้วย หากเลือกใช้หลุมเดียวจะนิยมใช้กับการล้างจานที่ไม่เยอะมากนัก ซึ่งด้านข้าง ๆ อาจเป็นที่พักวางจานก็ได้ แต่เมื่อเลือกใช้แบบ 2 หลุม ส่วนใหญ่จะใช้กับบ้านหรือสถานที่ที่ต้องล้างจานในแต่ละวันเยอะ จะบรรจุจาน ชาม ที่ต้องการล้างได้มากกว่า และมีความรวดเร็วกว่า

4. ระดับความลึก-ตื้น
นอกจากจำนวนหลุมแล้ว อย่าลืมสังเกตระดับความลึก-ตื้นของ อ่างล้างจาน ด้วย ทั้งนี้เพราะอ่างที่มีขนาดตื้นจะเหมาะกับจำนวนจานน้อย ๆ แต่ยิ่งระดับความลึกเยอะก็จะใส่จาน ชามต่าง ๆ ได้เยอะกว่า แน่นอนว่าเรื่องของราคาก็แตกต่างออกไป

5. ส่วนประกอบอื่น ๆ
ปกติ ซิงค์ล้างจาน ราคา ที่ขายกันนั้นไม่ใช่แค่ตัวซิงค์ แต่รวมเอาส่วนประกอบอื่น ๆ ไว้หมดแล้ว ได้แก่ ขาตั้ง, ท่อน้ำทิ้ง, หัวก๊อกน้ำ ฯลฯ อย่าลืมสังเกตว่าส่วนประกอบอื่น ๆ มีความแข็งแรง ใช้งานได้ดีหรือไม่ เพราะเวลาใช้จริงยังไงก็ต้องใช้ร่วมกันหมด หากเลือก อ่างล้างจาน ได้ในชนิดที่ตนเองต้องการ นอกจากจะช่วยให้การล้างจานสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลานานแล้ว ยังช่วยให้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อใหม่ หรือต้องปรับแก้การออกแบบให้ยุ่งยากนั่นเอง

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/KIT0701

7


ด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดจำเป็นต้องเสียบต่อเข้ากับปลั๊กเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา ด้วยเหตุนั้นใครที่กำลังมองหา ปลั๊กไฟ, ปลั๊กต่อต่าง ๆ ก็ต้องรู้วิธีเลือกซื้ออย่างเหมาะสมเพื่อให้มั่นอกมั่นใจว่าสินค้าที่ได้มานั้นมีคุณภาพดี ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจนเกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือไฟไหม้ สร้างอันตรายให้กับชีวิตและทรัพย์สิน นี่จึงเป็นพื้นฐานง่าย ๆ ที่ใครก็นำไปใช้ได้เมื่อต้องซื้อปลั๊กใช้งาน
1. ผ่านการรับรองมาตรฐาน
อย่างแรกที่สังเกตได้ง่ายสุดนั่นคือ ปลั๊กไฟ ที่จะใช้ต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน มอก. โดยให้ดูสายไฟต้องผ่าน มอก. 11-2553, เต้าเสียบ-เต้ารับต้องผ่าน มอก. 166-2547 เนื่องมาจากมาตรฐานนี้จัดเป็นข้อบังคับเบื้องต้นที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าเวลานำไปใช้งานไม่มีปัญหาใด ๆ ตามมาภายหลัง

2. วัสดุที่ใช้ในการผลิต
ตัววัสดุที่ใช้ในการผลิตควรเป็นกลุ่มวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทาน หยิบจับแล้วไม่กรอบ มีความทนไฟ ทนความร้อน ยิ่งถ้าหากมีม่านปลั๊ก หรือตัวปิดรูช่องเสียบปลั๊กจะดีมาก ๆ เหตุเพราะช่วยป้องกันไม่ให้เด็กเอามือเข้าไปแหย่ปลั๊กเล่นจนอาจเกิดอันตรายกับตัวเด็กได้

3. ระบบเซอร์กิตเบรกเกอร์
บางท่านก็เรียก ตัวตัดไฟ ต้องลองถามคนขายดูก่อนว่า ปลั๊กสามตา นี้มีเซอร์กิตเบรกเกอร์หรือไม่ ทั้งนี้เพราะจะมีหน้าที่ในการตัดไฟทันทีกรณีกำลังไฟฟ้าสูงเกินไป ไม่ทำให้เกิดไฟช็อต หรือกระแสไฟย้อนกลับไปหาเครื่องใช้ไฟฟ้าจนเกิดความเสียหายขึ้น ตรงนี้เป็นอีกข้อสำคัญที่อย่าลืมสอบถามเด็ดขาด

4. ควรเลือกแบบมีสวิตช์เปิด-ปิด
ปัจจุบันเทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกลมากขึ้น การเลือกปลั๊กที่ดี ยิ่งเป็นพวก ปลั๊กพ่วง สำหรับการใช้งานต่าง ๆ ควรเลือกที่มีสวิตช์ไฟ เมื่อไม่ใช้งานก็ปิด เวลาจะใช้งานค่อยเปิดใช้ แบบนี้นอกจากป้องกันว่าไม่มีกระแสไฟไหลผ่านตอนไม่ใช้งานแล้ว ยังป้องกันอันตรายจากการเกิดไฟช็อตเวลาไม่มีใครอยู่ รวมถึงช่วยประหยัดไฟมากขึ้นด้วย

5. จำนวนรูเสียบและความยาวสายไฟ
ข้อสุดท้าย ห้ามลืมพิจารณาเรื่องของจำนวนรูเสียบที่ใช้งาน หากใน 1 ปลั๊กใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชิ้นก็ควรเลือกรูเสียบที่มีปริมาณพอดี แต่อย่าลืมว่าต้องเสียบกับอุปกรณ์ที่ให้กำลังไฟรวมแล้วไม่เกินค่าของปลั๊กด้วย รวมถึงสายไฟก็ต้องเลือกขนาดให้พอเหมาะ ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป เพื่อนำมาใช้งานจะเกิดความสะดวก ไม่เกะกะ ใช้ได้คุ้มค่า
ด้วย ปลั๊กไฟ เป็นอุปกรณ์ที่มีเรื่องของไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างนั้นทุกครั้งที่เลือกซื้อเลือกหายังไงก็ต้องมีความปลอดภัย และเลือกแบบที่ได้มาตรฐานเท่านั้น สร้างความมั่นอกมั่นใจในการใช้งานได้อย่างดี ไม่มีปัญหากวนใจใด ๆ หรืออันตรายตามมาภายหลัง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/ELT0901

8

การทำความสะอาดร่างกายของคนเราในแต่ละวันอย่างน้อยควรอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง คือ ตอนเช้าหลังตื่นนอนและตอนเย็นหรือตอนมืดก่อนเข้านอน เพื่อเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรกออกให้หมด ซึ่งในปัจจุบัน “ฝักบัว” ถือว่าเป็นอีกอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้การอาบน้ำสบายตัว และรู้สึกสดชื่นได้ในทุก ๆ วัน แต่ทราบหรือไม่ทำไมถึงควรใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ มีข้อดีที่บ้านไหนยังไม่ได้ใช้งานมาฝาก
1. แรงดันของน้ำช่วยให้ชำระล้างได้สะอาดหมดจด
ด้วยแรงดันของน้ำที่ออกมา โดยเฉพาะบรรดา “ฝักบัวแรงดันสูง” จะช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกต่าง ๆ ให้ออกไปจากร่างกายได้อย่างหมดจด ทุกซอกทุกมุม แตกต่างกับการอาบน้ำแบบตักที่ไม่ได้มีแรงดันตรงนี้ บางจุดบริเวณซอกต่าง ๆ ตามร่างกายอาจยังไม่สะอาดเพียงพอ

2. ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นได้
ใครที่ชอบการอาบน้ำอุ่น หรือวันไหนที่รู้สึกว่าสภาพอากาศหนาวเย็น คงแทบไม่มีใครอยากเอาร่างกายไปสัมผัสกับน้ำด้วยซ้ำ แต่เมื่อมีอุปกรณ์อาบน้ำประเภทนี้จะช่วยให้การอาบน้ำทุกวันเป็นเรื่องง่ายขึ้น ทั้งนี้เพราะสามารถติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นได้ ต่อให้อากาศเย็นแค่ไหนก็มั่นใจว่าได้อาบทุกวัน สะอาด สบายใจ สบายตัว ไม่ต้องกลัวหนาวเลย

3. อาบง่าย สะดวกกว่า
หากเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายมีอาการบาดเจ็บบางอย่าง ไม่พร้อมสำหรับการอาบน้ำ อย่างเช่น แขนหัก ขาหัก หรือมีการปวดตามเนื้อตัว เพียงแค่เปิด ฝักบัว ก็สามารถอาบน้ำได้ ไม่ต้องใช้แรงของตนเองในการยกขันตักน้ำ เรียกว่าจะมีสภาพร่างกายแบบไหนก็ไม่ใช่ปัญหาในการอาบน้ำแต่ละวัน

4. อยากอาบเมื่อไหร่ก็ทำได้ทันที
บางบ้านที่ยังใช้การอาบน้ำแบบตักน้ำ บ่อยครั้งที่รู้สึกว่าอากาศร้อนมาก ๆ อยากอาบน้ำ แต่ยังต้องมารอให้น้ำเต็มถังก่อนจึงอาบได้ แบบนี้คงเสียเวล่ำเวลาน่าดู เมื่อลองเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ อยากอาบตอนไหนก็เข้าห้องน้ำไปอาบได้เลย ไม่ต้องรอเวลาใด ๆ ทั้งสิ้น ประหยัดเวลาได้เยอะมาก

5. เพิ่มความหรูหราได้มากทีเดียว
แม้เป็นบ้านธรรมดา แต่เมื่อติดตั้ง ฝักบัวอาบน้ำ เข้าไปแทนการใช้ถังตักอาบ จะเพิ่มความหรูหราให้กับบ้านสำหรับแขกที่มาเยี่ยมเยียนได้อีกเยอะมาก แถมปัจจุบันนี้ราคาก็ไม่แพงอย่างที่คิด ติดตั้งเอาไว้ใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่าอย่างแน่นอน

จริง ๆ แล้วการเลือกอาบน้ำแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล แต่เมื่อเลือกใช้ ฝักบัว นอกจากให้ความสะดวกต่อการอาบแล้ว ยังรู้สึกเย็นสบาย ไม่หนาวในช่วงที่อากาศมีอุณหภูมิต่ำลง แถมยังเพิ่มความดูดีให้กับบ้านได้อีกหลายเท่า บ้านไหนยังไม่ได้ใช้ลองเปลี่ยนมาเป็นอุปกรณ์นี้ได้เลย

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/BAT10

9


การทำงานช่างในพื้นที่สูง ดังเช่น งานหลังคา งานโครงสร้างชั้น 2 งานเสาไฟ ฯลฯ บ่อยครั้งเมื่อไม่สามารถปีนขึ้นไปยืนบนคานหรืออุปกรณ์รองรับน้ำหนักด้านบนได้ก็ต้องอาศัย “บันได” ที่มีในงานช่างไม่ว่าจะเป็นแบบพาด, ยืดหดได้, แบบสเต็ป หรือชนิดกันไฟ แต่ปัจจัยสำคัญในการใช้งานอุปกรณ์ชนิดนี้ทุกประเภทนั่นคือเรื่องความปลอดภัย เพราะอย่างที่รู้ว่าการทำงานบนที่สูงหากเกิดข้อผิดพลาดนั่นอาจหมายถึงความพิการหรือถึงแก่ชีวิตได้เลย
บันได ในงานช่าง ใช้อย่างไรให้ปลอดภัยมากที่สุด
1. เลือกลักษณะงานกับอุปกรณ์ที่ใช้ให้เหมาะสม
สิ่งแรกอันถือเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยนั่นคือ ต้องเลือกอุปกรณ์ที่ใช้กับงานนั้น ๆ ให้เหมาะสมมากที่สุด อาทิเช่น แบบพาดควรใช้งานกับพื้นที่ที่สามารถพาดไปได้ด้วยความแข็งแรง ได้แก่ กำแพง, ผนัง, แต่ถ้าเจองานที่ไม่มีพื้นที่สำหรับการพาดก็เปลี่ยนเป็นแบบยืดหดได้ เป็นต้น การเลือกใช้งานอย่างถูกประเภทจะช่วยลดความอันตรายลงได้เยอะมาก

2. มีการตรวจเช็คก่อนใช้งานทุกครั้ง
ไม่ว่าจะ บันไดเหล็ก สแตนเลส อลูมิเนียม ไม้ หรือวัสดุประเภทใดก็ตาม ก่อนใช้งานทุกครั้งต้องตรวจสอบคุณภาพเสมอว่าไม่มีปัญหาเรื่องความเสียหาย รอยร้าว การบิดงอ ฯลฯ เนื่องมาจากอย่าลืมว่าเมื่อตัวบุคคลขึ้นไปยืนแล้วจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่าเดิม หากตัวอุปกรณ์รับน้ำหนักไม่ไหว หรือมีรอยชำรุดอยู่แล้วอาจทำให้เกิดผลเสียตามมาในแบบคาดไม่ถึงก็ได้

3.  ไม่ใช้งานเกินความสามารถของอุปกรณ์
นี่เป็นอีกเรื่องที่หลาย ๆ ท่านมักลืมและคิดว่าอุปกรณ์ประเภทนี้แบบไหนก็เหมือน ๆ กัน ทว่าในความเป็นจริงทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัดในการทำงาของตนเองอยู่แล้ว ตัวอย่างง่าย ๆ คือ บันไดอลูมิเนียม จะเหมาะกับการรับน้ำหนักไม่เกิน 150 กก. สมมุติว่าน้ำหนักของคนที่ขึ้นไปอยู่ที่ 100 กก. ก็ไม่มีควรมีการแบกของใด ๆ เพิ่มเติม หรือมีการปีนขึ้นไปอีกคนด้วยน้ำหนักที่เกินกว่า 50 กก. เนื่องมาจากมีโอกาสที่บันไดจะรับน้ำหนักไม่ไหวจนพังถล่มลงมาได้เลย

4. ป้องกันตนเองทุกครั้งเมื่อต้องใช้งาน
ท้ายที่สุดไม่มีใครระวังอันตรายได้มากกว่าตนเอง ทุกครั้งที่ต้องใช้งานให้มีอุปกรณ์เซฟตี้เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อนเสมอ งานชิ้นไหนเสี่ยงก็ต้องประเมินให้ดีว่าควรทำหรือไม่ มีอุปกรณ์ป้องกันใด ๆ เพิ่มเติมบ้าง ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับตนเอง

ด้วยความที่ บันได ในงานช่างคือสิ่งสำคัญมาก ๆ แต่การจะเลือกใช้ไม่ใช่ว่าแค่มีฝีมือในงานช่างก็ทำได้ แต่ควรทราบถึงการดูแลความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดเรื่องเศร้าเมื่อต้องใช้งาน

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/TOO09

10


ด้วยสภาพอากาศของเมืองไทยทุกคนรู้ดีว่าร้อนอบอ้าวแค่ไหน การมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างพัดลมจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จริง ๆ ปัจจุบันตัวเลือกของอุปกรณ์ชนิดนี้ก็มีเยอะมาก ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความพึงพอใจของผู้ใช้งาน “พัดลมติดผนัง” จึงเป็นอีกอุปกรณ์ดี ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความเย็นสบายให้กับทุกพื้นที่ แต่ทราบหรือไม่ว่าทำไมพัดลมลักษณะนี้จึงได้รับความนิยม มาดูประโยชน์อันสุดเหลือล้นไปพร้อมกันได้เลย
ประโยชน์ของการใช้งานพัดลมแบบติดผนัง
1. ประหยัดพื้นที่ภายในบ้าน
สำหรับบ้านไหนมีขนาดพื้นที่แคบ หรือเล็ก การเลือกใช้ พัดลมติดผนัง จะช่วยเพิ่มพื้นที่บริเวณพื้นให้เยอะมากขึ้น เพราะว่าแทนที่จะวางพัดลมไว้ปกติก็จับเอาขึ้นไปแขวนผนังที่ไม่ได้ถูกใช้งานอะไรอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นการขยายขนาดบ้านให้ดูกว้างขึ้น สามารถเก็บสิ่งของในมุมอื่นได้เยอะกว่าเดิมอีกด้วย หรือออฟฟิศไหนที่มีพนักงาน มีของเยอะ แต่ต้องเบียดเสียดกัน พัดลมประเภทนี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่ได้จริง

2. ไม่เป็นอันตรายกับเด็กเล็ก
บ้านไหนที่มีเด็กเล็กวัยกำลังซุกซน การเลือกใช้พัดลมแบบนี้จะสบายใจกว่า ไม่ต้องกลัวว่าเด็กจะเอานิ้วเข้าไปแหย่ใบพัดจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ อีกทั้งในกรณีที่เสียบปลั๊กทิ้งเอาไว้ก็ไม่ต้องห่วงว่าเด็ก ๆ จะเผลอไปกดเปิดพัดลมทิ้งไว้โดยที่พ่อแม่ไม่รู้ นอกจากไม่เปลืองไฟ ยังลดความเสี่ยงต่อการลัดวงจรของมอเตอร์ที่ต้องทำงานอย่างหนักอีกด้วย

3. กระจายลมได้ทั่วถึงมากกว่า
ด้วยมุมของตัวพัดลมที่อยู่ด้านบนจึงช่วยให้กระจายลงไปในมุมกว้างได้เยอะกว่า เป็นการเป่าจากด้านบนลงมาด้านล่างทุก ๆ คนได้รับความเย็นสบายแบบทั่วถึง ยิ่งบ้านไหนใช้ พัดลมติดผนัง 18 นิ้ว ที่มีหน้ากว้างก็จะช่วยเพิ่มกำลังในการพัดให้เย็นและสบายมากกว่าเดิม แบบนี้เป็นใครก็ต้องชอบแน่ ๆ

4. ทำความสะอาดบ้านได้ง่ายขึ้น
ปิดท้ายด้วยความชอบใจของบรรดาแม่บ้านเมื่อเลือกใช้ พัดลมผนัง เมื่อถึงตอนทำความสะอาดบ้านก็ไม่ต้องเปลืองเวลามายกพัดลมเก็บทีละตัวให้วุ่นวาย หรือบางคนข้ามไปไม่ได้ทำความสะอาดตรงที่พัดลมตั้งอยู่ก็กลายเป็นแหล่งรวมสิ่งสกปรก ดังนั้นการติดตั้งพัดลมลักษณะนี้จะช่วยทำให้บ้านสะอาดขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

เห็นประโยชน์สุดคุ้มขนาดนี้แล้ว บ้านไหนกำลังมองหาพัดลมดี ๆ สักตัวที่ช่วยให้ความเย็นทั่วถึง ปลอดภัย ไร้กังวล เลือก พัดลมติดผนัง การันตีความคุ้มค่า ช่วยลดความร้อน และยังประหยัดพื้นที่ จะติดตั้งในบ้าน โรงงาน ออฟฟิศ หรือที่ไหนก็ไม่มีปัญหา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP0511

11

สำหรับคอกาแฟที่ถูกใจการดื่มในทุกเช้าก่อนทำกิจกรรมอื่นต่อ หากต้องซื้อกาแฟทุกวันคงไม่ไหวแน่ แต่จะขาดไปก็รู้สึกสมองไม่ปลอดโปร่ง ไม่มีแรงในการขับเคลื่อนการทำงานสักเท่าไหร่ หนึ่งในวิธีแก้ปัญหานี้ได้คือ การมี “เครื่องชงกาแฟ” ติดบ้านเอาไว้ จะเช้าวันทำงาน หรือเช้าวันหยุดก็ดื่มได้ไม่มีเบื่อ แล้วเครื่องแบบไหนที่จะเหมาะกับการดื่มของคุณ ๆ ลองมาทำความรู้จัก 4 ประเภทที่น่าสนใจกันเลย
1. เครื่องแบบอัตโนมัติ
เริ่มต้นกันด้วยแบบแรกที่หลายคนอาจเรียกว่า เครื่องชงกาแฟสด ก็ได้เช่นกัน ด้วยเหตุว่าหลักการคือ จะนำเอาเมล็ดกาแฟใส่ลงไปในเครื่อง จากนั้นตัวเครื่องมีการทำงานในลักษณะคั่วบดอัตโนมัติ ก่อนจะสกัดออกมาเป็นน้ำให้ได้รสชาติกาแฟตามประเภทที่ใส่เมล็ดลงไป เครื่องประเภทนี้มักมีราคาสูง ส่วนใหญ่จะเห็นตั้งเอาไว้ตามออฟฟิศที่มีพนักงานใช้กันเยอะ ๆ แต่ใครนิยมชอบรสชาติและกลิ่นของเมล็ดกาแฟดี ๆ ควรมีติดบ้านเอาไว้เลย

2. เครื่องแบบแคปซูล
เครื่องชงกาแฟแคปซูล จัดเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับคนยุคใหม่ไปเรียบร้อย ด้วยความสะดวกที่ไม่ต้องเสียเวลาในการรอเมล็ดกาแฟผ่านการคั่วบดใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่ใส่แคปซูลลงไปในเครื่องไม่กี่นาทีก็สามารถดื่มได้เลย อีกทั้งยังมีรสชาติให้เลือกหลากหลาย ราคาเครื่องไม่แพง มีขนาดให้เลือกทั้งแบบขนาดกะทัดรัด และขนาดใหญ่หากชงดื่มกันหลายคน หลายแก้ว มั่นใจเลยว่ากาแฟที่ได้ทุกแก้วจะมีรสชาติคงที่ กลมกล่อม อร่อยจนดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ

3. เครื่องแบบดริปหรือหยด
เป็นอีกประเภทของการชงกาแฟสด วิธีคือ เมื่อเมล็ดกาแฟอยู่ในเครื่องจะทำการเทน้ำร้อนลงไปผ่านตัวกรอง น้ำที่ได้ลงมาในแก้วก็คือน้ำกาแฟที่ผสมกับรสชาติของเมล็ดกาแฟคั่วบดเอาไว้เรียบร้อยนั่นเอง แม้รสชาติอาจไม่ค่อยเข้มจนสายเอสเพรสโซ่อาจรู้สึกไม่ค่อยโดนใจ แต่ถ้าเป็นสายลาเต้ หรือนิยมการดริปกาแฟด้วยรสชาติใหม่ ๆ รับรองว่าโดนใจสุด ๆ

4. เครื่องแบบเพอร์โคเลเตอร์
จะมีลักษณะคล้ายกาน้ำ หลักการทำงานคือ เมื่อเปิดให้น้ำเดือดเต็มที่ น้ำก็จะไหลเข้าสู่ตัวปั๊ม แล้วต่อไปยังตะกร้าที่ใส่ผงกาแฟคั่วบดเอาไว้เรียบร้อย จากนั้นเวลาเทก็จะได้กาแฟแสนอร่อยเอาไว้ดื่ม เป็นอีกประเภท เครื่องชงกาแฟ ที่ได้รับความนิยมมากทีเดียว

ลองพิจารณาดูว่า เครื่องชงกาแฟ ชนิดไหนที่เหมาะสำหรับการใช้งานของคุณแล้วเลือกซื้ออย่างเหมาะสม จะช่วยให้มีกาแฟดี ๆ รสชาติแสนอร่อยดื่มทุกวัน ที่สำคัญไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินซื้อกาแฟแพง ๆ เก็บเอาไว้ทำอย่างอื่นได้อีกหลายอย่างเลย

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP080203

12

ในการเก็บสิ่งของต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทางเพื่อไม่ให้เกิดความรกในทุกพื้นที่ก็ต้องมีอุปกรณ์อย่างตู้เป็นตัวช่วยสำคัญ ซึ่งชนิดของตู้นั้นก็จะต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน “ตู้ลิ้นชัก” นับเป็นอีกความนิยมที่มักนำเอามาใช้ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน สำนักงาน โรงงาน ฯลฯ เพื่อเก็บของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่การจะใช้งานตู้แบบนี้ควรมีเคล็ดลับในการเลือกยังไงให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์มากที่สุด มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันได้เลย ตู้ลิ้นชัก ที่เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละคน
1. ทำจากไม้แท้
เป็นประเภทของตู้ที่ใช้ไม้จริง ๆ ในการทำมีความโดดเด่นในเรื่องลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นอีกทางเลือกของคนที่ต้องการตู้สวย ๆ ไว้ใช้งาน ทว่าจะเหมาะกับการเก็บพวกเสื้อผ้า ของเล็กน้อยทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้มีความลับอะไรมากนัก เนื่องจากว่าบางครั้งหากตู้เจอกับความชื้นก็อาจทำให้เกิดเชื้อราได้ง่าย ทั้งนี้ยังแบ่งออกได้หลายชั้น ได้แก่ ด้านบนเป็น ลิ้นชักใส่เสื้อผ้า ด้านล่างเอาไว้เก็บเอกสารทั่วไป เป็นต้น

2. ทำจากไม้เทียม
ความพิเศษของตู้ชนิดนี้คือจะมีราคาถูกมาก พบเห็นได้ทั่วไป ขั้นตอนการผลิตที่นิยมคือนำเศษไม้มาอัดกับกาวแล้วไสให้เป็นแผ่น ลวดลายที่ได้จะมีความเงางามในระดับหนึ่ง เหมาะสมกับการเก็บของทั่ว ๆ ไปเช่นกัน ไม่นิยมใช้เก็บของสำคัญมากนัก เนื่องจากผุพังเสียหายง่าย รวมถึงเวลาเจอกับความชื้นหรือเจอน้ำตู้มีโอกาสบวม หรือฉีกขาด ไม่สามารถใช้งานต่อได้

3. ทำจากเหล็ก
มาถึงประเภทของตู้ที่มีความแข็งแรงทนทานมาก มักพบได้บ่อยตามออฟฟิศ สำนักงาน การใช้งานภายในองค์กร ด้วยจุดเด่นคือตู้ประเภทนี้จะงัดแงะยาก เหมาะสำหรับการเก็บเอกสารสำคัญ รวมถึงยังไม่ลามไฟในกรณีเกิดเพลิงขึ้นมาอย่างน้อยของสำคัญก็จะเสียหายน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับวัสดุประเภทอื่น ๆ แต่ข้อควรระวังคือด้านในลิ้นชักไม่ควรเก็บของที่มีความชื้นหรือไอเย็นเนื่องจากส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเคลือบกันสนิมเหมือนด้านนอก จึงอาจทำให้เกิดสนิมได้นั่นเอง

4. ทำจากพลาสติก
ชนิดสุดท้ายคือ ตู้ลิ้นชักพลาสติก เป็นประเภทตู้ที่พบเห็นได้บ่อยตามบ้านเรือนทั่วไป มีราคาถูก เลือกดีไซน์ สีสันได้ตามชอบ นิยมใช้เก็บเสื้อผ้าและสิ่งของทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก เมื่อใช้งานไปนาน ๆ พลาสติกก็มีโอกาสกรอบและแตกออกได้ ความแข็งแรงจะน้อยกว่าประเภทอื่น ๆ
เมื่อรู้แล้วว่าควรเลือกใช้งาน ตู้ลิ้นชัก แบบไหนดี ก็อย่าลืมพิจารณาให้เหมาะสมกับงบ ประเภทสิ่งของที่เก็บ รวมถึงขนาด และพื้นที่ในการวาง เพื่อเวลาซื้อมาแล้วจะได้พึงพอใจไม่ต้องเสียดายเงิน

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/FUR090202

13

การดื่มน้ำสะอาดนอกจากช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีแล้ว ยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยต่าง ๆ ของร่างกายอีกด้วย ตรงนี้ต้องยอมรับว่าการดื่มน้ำสะอาดก็ต้องมาจากน้ำที่ผ่านการกรองมาอย่างดี เพื่อลดบรรดาสารคลอรีน, สิ่งสกปรก, เชื้อราต่าง ๆ ที่มากับน้ำ การมีเครื่องกรองน้ำไว้จึงเป็นสิ่งที่ทุกบ้านมักนิยมทำกัน เหตุเพราะเมื่อมองความคุ้มค่าในระยะยาวแล้วประหยัดกว่าการซื้อน้ำขวดดื่มแน่ ๆ แต่สิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดนั่นคือ การเปลี่ยน ไส้กรองน้ำ ตามอายุการใช้งานอย่างเหมาะสม
เหตุผลสำคัญที่ต้องมีการเปลี่ยน ไส้กรอง ตามระยะเวลาที่เหมาะสม
ตามเหตุผลที่กล่าวเอาไว้เบื้องต้นว่าสิ่งสกปรก สารเคมีต่าง ๆ ที่มากับน้ำเมื่อมาผ่านตัวเครื่องกองน้ำแล้ว ไส้กรองน้ำ จะคอยทำหน้าที่ในการกรองเอาความสกปรกเหล่านั้นเก็บไว้กับตนเองแล้วปล่อยน้ำสะอาดให้ไหลผ่านสายก่อนจะออกมาสู่ภายนอก เมื่อระยะเวลาผ่านไปนานเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวจึงกลายเป็นแหล่งสะสมของบรรดาสิ่งสกปรก เชื้อโรค สารเคมีต่าง ๆ มากมาย หากไม่มีการถอดล้างทำความสะอาด หรือไม่มีการเปลี่ยนตามเวลาที่เหมาะสมจากที่ร่างกายควรได้รับน้ำสะอาดก็จะกลายเป็นมีส่วนผสมของเชื้อโรคเข้ามาเพิ่มเติมด้วยนั่นเอง
แล้วควรเปลี่ยนในช่วงเวลาไหนดี
ในประเทศไทยของเราจะมีการแยกประเภทของ ไส้กรอง เอาไว้หลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีระยะเวลาในการเปลี่ยนต่างกันออกไป ลองสังเกตว่าที่บ้านใช้งานแบบไหนก็ให้เปลี่ยนตามการใช้งาน ดังนี้
1. แบบ PP
หรือ Polypropylene จะมีราคาประหยัดที่สุดในท้องตลาด แต่ก็อายุใช้งานสั้นเช่นกัน หลัก ๆ แล้วเมื่อครบกำหนด 3 เดือน ควรต้องเปลี่ยนทันทีเพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกต่าง ๆ เกิดการเจือปนเข้ามาในน้ำดื่ม
2. แบบ UF
หรือ Ultra Filtration Membrane จะกรองได้ละเอียดกว่าแบบแรก ขนาดความเล็กสูงสุด 0.01 ไมครอน ถือว่าเป็นชนิดที่ได้รับความนิยมมาก มีระยะเวลาในการเปลี่ยนราว 1 ปี / ครั้ง
3. แบบ Resin
ชนิดนี้จะลดหินปูนที่ติดมากับน้ำและความกระด้าง ช่วยให้รสชาติน้ำดียิ่งขึ้น มีระยะเวลาการเปลี่ยนประมาณ 3-6 เดือน
4. แบบ Ceramic
สำหรับแบบเซรามิกถือว่าเป็นอีกความยอดนิยมเนื่องจากกรองสิ่งสกปรกได้เล็กถึง 0.01 ไมครอน รวมถึงบรรดาแบคทีเรียต่าง ๆ มีอายุใช้งานราว 1 ปี
5. แบบ Carbon Block CTO
เหมาะกับพื้นที่ที่น้ำประปามีกลิ่นคลอรีนสูง ลดกลิ่นเหม็น เพิ่มความใสให้กับน้ำ ดื่มได้สบายใจมากขึ้น ควรเปลี่ยนทุก ๆ 3-6 เดือน เมื่อรู้เช่นนี้แล้วลองสังเกต ไส้กรองน้ำ ที่บ้านว่าเป็นแบบไหนและจดระยะเวลาในการเปลี่ยนหรือทำความสะอาดทุกครั้ง เมื่อถึงรอบใหม่จะได้ไม่ลืม มีน้ำดื่มสะอาดเอาไว้ใช้เพื่อความสดชื่นและสุขภาพดี ๆ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/KIT0903

14

เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านที่ไม่ใช่แค่การใช้เพื่อการต้อนรับแขกเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเสมือนจุดพักผ่อนให้กับคนในบ้านได้อย่างดีเยี่ยม นั่นคือ “โซฟา” ด้วยการออกแบบที่หลากหลาย ผสานกับความนุ่มสบายเมื่อได้เอนตัวลงนอน บางคนถึงกับไม่อยากลุกไปทำอะไรเลยทีเดียว แต่ก็อย่างที่รู้ว่าเฟอร์นิเจอร์ชนิดนี้จะทำมาจาก 3 วัสดุหลัก ได้แก่ หนังแท้ หนังเทียม และผ้า ดังนั้นลองมาดูว่าวัสดุแต่ละประเภทมีจุดเด่น ข้อเสียต่างกันอย่างไร เพื่อการหาซื้อที่ง่ายขึ้น
หนังแท้
เริ่มต้นด้วยประเภทวัสดุที่พบเห็นได้บ่อย ทำมาจากหนังสัตว์จริง ๆ อย่างเช่น หนังวัว, หนังควาย มีความหนา เมื่อได้สัมผัสแล้วจะรู้สึกนุ่ม
ข้อดี – ด้วยความที่ทำจากหนังแท้จึงสัมผัสถึงความหรูหรา บ่งบอกสไตล์ของผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจน มีความนุ่มมากเมื่อได้สัมผัส ทนทาน ใช้งานได้ยาวนานเกิน 10-20 ปี ตัววัสดุไม่ฉีกขาดง่าย ไม่ซึมน้ำจึงทำความสะอาดง่ายๆตามไปด้วย ไม่ร้อนเมื่อต้องนอน นั่งนาน ๆ และยังช่วยระบายอากาศได้อย่างดี
ข้อด้อย – เป็นการเบียดเบียนสัตว์อย่างชัดเจน มีราคาสูง ที่สำคัญเวลาซื้อมาตอนแรก ๆ อาจมีกลิ่นฉุนของหนังทำให้บางคนไม่ค่อยประทับใจในการนำมาใช้งานมากนัก

หนังเทียม
วัสดุประเภทต่อมาถือว่าพบเห็นได้บ่อยอีกเช่นกัน โดยเฉพาะบรรดา โซฟาเบด ทั้งหลาย และยังมีหนังหลายชนิดที่ถูกนำมาใช้งาน เช่น JU, Bicast, Premium, แบบหนา เป็นต้น
จุดแข็ง – แม้จะมีชนิดของการนำมาทำ โซฟา หลายลักษณะ แต่เมื่อมองไปถึงจุดเด่นจริง ๆ ของวัสดุประเภทนี้คือ ให้ความหรูหราคล้ายกับหนังแท้ แต่มีสนนราคาประหยัดกว่าพอควร เลือกดีไซน์ สีสันต่าง ๆ ได้ตามชอบ มีความนุ่มนวลเมื่อได้สัมผัสลงไปบนตัวเฟอร์นิเจอร์
จุดด้อย – เรื่องของความทนทานในการใช้งานมีน้อยกว่าหนังแท้ หากอยู่ในช่วงอากาศร้อนตัวเฟอร์นิเจอร์จะเก็บความร้อนตามไปด้วย เวลานั่งหรือนอนจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวมากนัก เมื่อผ่านการใช้งานไปสัก 5-6 ปี จะเริ่มมีการลอกของแผ่นวัสดุ และต้องคอยระวังความชื้น หรือน้ำหกใส่

ผ้า
ปิดท้ายกันด้วยอีกประเภทวัสดุที่ดูต่างไปจาก 2 แบบแรก แต่ให้ความหรูหราได้ไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตามมักขึ้นอยู่กับเกรดของวัสดุที่ใช้ด้วย
จุดแข็ง – มีตั้งแต่ราคาถูกมาก สามารถเลือกใช้งานได้ตามเหมาะสม เลือกสีสัน ลวดลายต่าง ๆ ที่ชอบ ไม่เก็บความร้อน นุ่มสบายเมื่อสัมผัส
ข้อเสีย – บางรุ่นมีราคาสูงมาก แต่ก็แลกมาด้วยวัสดุคุณภาพดี ผ้าทั่วไปมักมีปัญหาเรื่องของน้ำเวลาหกใส่จะทำให้เกิดรอยด่างง่าย รวมถึงการฉีกขาดเมื่อใช้ โซฟา ผ่านไปไม่นานนัก
การจะเลือกวัสดุลักษณะไหนก็อย่าลืมพิจารณาปัจจัยรอบด้านโดยเฉพาะงบประมาณ แต่ถ้าใครต้องการแบบใช้งานคุ้มค่า โซฟาปรับนอน ถือเป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์มากทีเดียว

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/FUR0805

15

ในการเก็บเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบไม่ใช่แค่การมี “ตู้เสื้อผ้า” ที่เหมาะสมต่อครอบครัวหรือการใช้งานของแต่ละคนเท่านั้น ทว่าการดูแลเฟอร์นิเจอร์ชนิดนี้เพื่อให้ใช้งานได้อย่างยาวนาน ไม่ต้องซื้อเปลี่ยนใหม่บ่อย ๆ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะฉะนั้นใครที่มีตู้สำหรับใส่เสื้อผ้าดี ๆ อยู่แล้ว และไม่ต้องการต้องเสียเงินเสียทองซื้อใหม่ก็มีเทคนิคไม่ยาก ในการดูแลมาฝากกัน รับรองใช้งานได้จริง
1. แยกประเภทของเสื้อผ้าให้ชัดเจน ไม่ใส่จนล้นตู้
วิธีแรกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ตู้เก็บเสื้อผ้าของท่านใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม นั่นคือ มีการแยกประเภทเสื้อผ้าออกให้ชัดเจน ได้แก่ เสื้อที่เหมาะกับการแขวน อย่างเช่น เสื้อเชิ้ต ชุดสูท ก็แขวนเอาไว้ บรรดาชุดอยู่บ้านพับใส่ลิ้นชัก ชุดชั้นในต่าง ๆ ก็เก็บแยกจากกันให้ชัดเจน หากมีเสื้อผ้ามากจนตู้ไม่พอก็ควรซื้อใหม่หรือโละเสื้อผ้าเก่า ๆ ออกบ้าง เนื่องด้วยการใส่แบบล้นตู้จะทำให้ประตูปิดไม่สนิท และบรรดา มด แมลงต่าง ๆ เข้าไปทำรังได้

2. หมั่นทำความสะอาด ตู้เสื้อผ้า อยู่เสมอ
วิธีต่อมาแม้ตู้เก็บเสื้อผ้าเหล่านี้จะไม่ได้ถูกใช้งานอะไรที่พบเจอกับความสกปรกมากนัก แต่เมื่อตั้งทิ้งไว้นาน ๆ ก็มีโอกาสที่ฝุ่นละออง มูลสัตว์เล็กสัตว์น้อยจะทำให้ตู้เกิดความสกปรกได้ ฉะนั้นควรมีการหมั่นทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ อาจไม่ต้องถึงขั้นทุกสัปดาห์ ทุกเดือน แต่เมื่อไหร่ที่เริ่มเห็นว่ามีฝุ่นมาเกาะก็จัดการเช็ดทำความสะอาดตามลักษณะตู้ที่เหมาะสม ดังเช่น ตู้ทำจากไม้ หรือไม้อัดไม่ควรใช้น้ำแต่เปลี่ยนเป็นผ้าชื้นนิดหน่อยก็เพียงพอแล้ว

3. สังเกตความผิดปกติอยู่เสมอ
เป็นเรื่องธรรมชาติของทุกสิ่งเมื่อผ่านเวลาไปนาน ๆ ย่อมเสื่อมสภาพลง ฉะนั้นให้ลองสังเกตความผิดปกติของตู้บ่อย ๆ ว่ามีแปลกไปจากเดิมหรือไม่ ดังเช่น ตู้เสื้อผ้าบานเลื่อน หากเลื่อนแล้วไม่ลื่นไหลเหมือนเดิมอาจมีสิ่งของบางอย่างไปขัดร่อง หรือนอตเสื่อมสภาพ ตัวเลื่อนเสื่อมสภาพ ก็ต้องซ่อมแซมให้เรียบร้อย เป็นต้น

4. เพิ่มกลิ่นหอมให้กับตู้บ้าง
ท้ายที่สุดให้ลองเพิ่มกลิ่นหอม ๆ ให้กับ ตู้เสื้อผ้า ที่ตนเองใช้งานบ้าง อย่างเช่น การใส่น้ำหอม, การแขวนกลิ่นหอมที่ได้จากธรรมชาติ เป็นต้น กลิ่นเหล่านี้นอกจากเวลาเปิดมาจะทำให้เสื้อผ้าหอมแล้ว ยังช่วยป้องกันแมลงไม่ให้เข้ามาอยู่อาศัยได้อีกด้วย แม้ปัจจุบัน ตู้เสื้อผ้า ราคาถูก จะมีขายเยอะ แต่ไหน ๆ เมื่อเลือกซื้อมาใช้งานแล้วก็ย่อมต้องการความคุ้มค่าคุ้มราคามากที่สุด วิธีเหล่านี้จึงเป็นตัวช่วยดี ๆ ที่จะทำให้เฟอร์นิเจอร์สำคัญในบ้านอยู่ทนนาน ไม่ต้องเสียเงินเสียทองซื้อใหม่บ่อย ๆ อีกต่อไป

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/FUR0104

หน้า: [1] 2