͸Ժ

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Ailie662

หน้า: 1 ... 611 612 [613] 614 615 ... 952
9181
ต้องยอมรับว่า งานสัมมนา Thailand Learning Development Forum 2021 ซึ่งจัดโดยสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) ในช่วงผ่านมา เป็นงานสัมมนาออนไลน์ที่รวบรวมผู้นำธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มาร่วมอภิปรายมากที่สุดงานหนึ่ง

โดยงานดังกล่าวแบ่งออกเป็นหัวข้อต่าง ๆ

แต่สำหรับหัวข้อ “Experience the Learning Exploration” มีผู้นำธุรกิจจากองค์กรต่าง ๆ มาร่วมพูดคุยถึง 5 ท่านด้วยกัน อาทิ ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ CEO and Founder Ookbee, เอก อัศว์ศิวะกุล SVP, Academy Innovation, Strategic Partnership and Learning Engagement ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน),

หัสนัย เตชเจริญปิติ HR Learning Manager, L’Oreal Thailand, ธีริศรา พวงประโคน Managing Director-PeopleScape, Major Development PCL และ ธีรวัฒน์ อุดมยิ่งเจริญ Head of Talent Management-Asia BU, PepsiCo

ซึ่งแต่ละผู้นำองค์กรล้วนมีมุมมองที่น่าสนใจทั้งสิ้น

สร้างคอนเทนต์เพื่อธุรกิจอนาคต
เบื้องต้น “ณัฐวุฒิ” เล่าให้ฟังบอกว่า อุ๊คบี (Ookbee) แอปพลิเคชั่นร้านหนังสือออนไลน์ ที่ชื่อบริษัทผวนมาจากคำว่า “อีบุ๊ก” ปัจจุบันอุ๊คบีเติบโตแข็งแรงจนขยายการลงทุนไปยังธุรกิจสตาร์ตอัพต่าง ๆ 80 บริษัท การมาของโควิด-19 ทำให้เราได้รับผลกระทบไม่น้อย ปัจจุบันเรามีผู้ใช้งานต่อเดือน 11.3 ล้านคน ถือว่าไม่น้อย มีตัวเลขพอ ๆ กับทวิตเตอร์ที่มีผู้ใช้งาน 8.5 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเจน Y เจน Z อายุ 25-30 ปี 80% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป

“ผมมองว่าการศึกษาในโลกปัจจุบัน การเข้าใจถึงรูปแบบมีเดีย การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ดิจิทัล เป็นทักษะแรก ๆ ที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจ เพราะต้องอยู่กับเราไปในอนาคต แต่แหล่งข้อมูลมันหลากหลาย แต่ละอันมีข้อดีข้อเสีย ความน่าเชื่อถือ ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป

เราต้องคิดวิเคราะห์ อะไรน่าเชื่อถือหรือไม่ ? อย่างไร ? เข้าใจข้อจำกัดเทคโนโลยีว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เราต้องฝึกทักษะพวกนี้ คนรุ่นใหม่จะมีความรู้ทางด้านดิจิทัล เด็กเจน Y เปลี่ยนงาน 10 ครั้ง เพราะโลกเปลี่ยนเร็ว การใช้ชีวิตปัจจุบันไม่เหมือนโลกสมัยก่อน คนที่ศึกษาออนไลน์ต้อง upskill”

การทำคอนเทนต์ปัจจุบัน ใช้ UGC (users generating their content) คือ ผู้ใช้สร้างคอนเทนต์เอง โหลดเองนักเลงพอ อินเทอร์เน็ตเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่ใช่การสื่อสารทางเดียว การเรียนการสอนปัจจุบัน เป็น UGC ผู้ใช้งานเป็นคนสร้างคอนเทนต์ขึ้นไปโชว์พาว

“ดังนั้น การสร้างคอนเทนต์ และเสพสิ่งที่เราสนใจ ก็จะเป็นโลกการเรียนรู้ส่วนตัวของเรา ทำให้เราใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากขึ้น เมื่อคอนเทนต์อินเทอร์เน็ตเป็นโลกของ UGC การเรียนรู้ออนไลน์ ทำให้เราสามารถสร้างคอนเทนต์เหล่านี้ในโลกออนไลน์ได้ เราไม่เคยอัดวิดีโอยูทูบ แต่หลายคนก็ชอบโพสต์ลงโซเชียล”

“การเรียนการสอนที่ดีคือการสร้างคอนเทนต์ และการเรียนรู้ร่วมกัน ถือเป็นการพัฒนาที่ดีที่สุด โลกอนาคตสอนกันเป็นกลุ่ม ทุกคนมีส่วนร่วม และกระจายออกไปออนไลน์ เพราะเรียนออนไลน์มันย้อนหลังได้ แต่การมีส่วนร่วมกับคนอื่นทำให้เราเห็นบรรยากาศการเรียนร่วมกันในห้อง ได้พัฒนาตัวเอง มีเป้าหมายบางอย่าง

ถ้าหากลุ่มไปเรียนออนไลน์ร่วมกันได้ ดีกว่าเรียนคนเดียวไม่มีกลุ่ม เราต้องหาโอกาสหาเพื่อนฝูงในกลุ่มสังคมออนไลน์บ้าง จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น บางคนอยู่คนเดียวยิ่งต้องพยายามสื่อสารกัน มีการพูดคุยบ้าง ทำให้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร หรือไม่ก็พวกเดียวกัน”

ความรู้มาจากโลกออนไลน์
“ณัฐวุฒิ” กล่าวต่อว่า การหาความรู้ออนไลน์มีหลายเรื่องที่น่าสนใจ อย่างผมเองชอบเรื่องที่ให้กำลังใจ มีอันหนึ่งให้ข้อคิดที่ดีมาก เราทุกคนมีการลงทุน มีการลงทุนอะไรบ้าง ที่ไม่มีความเสี่ยง การลงทุนที่ไม่เสี่ยงคือ การลงทุนในตัวเอง ลงทุนแล้วลงทุนอีก จนคนอื่นอยากมาลงทุนกับเรา เราเรียน เราได้ความรู้ เราเก่งขึ้น เราตื่นเช้าออกกำลังกายเราก็ได้ประโยชน์ พอเราลงทุนกับตัวเองแล้ว คนอื่นก็อยากมาลงทุนกับเรา องค์กรดี ๆ ก็อยากได้เราไปทำงาน

“การศึกษาสำคัญ โลกเปลี่ยนเร็ว จนความรู้ที่มี ผ่านไป 4-5 ปี ก็ตกรุ่นไปแล้ว อย่างโควิด-19 ทำให้โลกพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทักษะบางอย่างใช้ไม่ได้ ความยึดติดใช้ไม่ได้ ไม่ต้องมาสอนเราหรอก การพูดมากกว่าฟัง ไม่ควรมีแล้ว เราไม่ได้รู้อะไรดีกว่าคนอื่นเลย เรายินดีที่จะเป็นผู้ฟัง ต้องศึกษาออนไลน์ มันมีอะไรใหม่ ๆ ในโลกปัจจุบัน เอามาประยุกต์ใช้กับเราอย่างไร ?

สร้างโอกาสธุรกิจจากการเจอกับเพื่อนนอกกลุ่ม พอเจอนักลงทุนต่างอุตสาหกรรม เราก็กลายเป็นเด็กน้อยมากเป็นการเปิดโลก ความยาก หรือโอกาสที่เขาเจอ อาจต่างจากเรา แต่เอามาใช้ประโยชน์ได้ เก็บเรื่องที่เรารู้ เราคิดว่าเราเก่ง เก็บไว้เลย แล้วออกไปเรียนรู้จากคนอื่น”

“เราจะเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ ฉะนั้น การเรียนไปทั้งหมดก็เพื่อลงมือทำ และการลงมือทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวันนี้ ก็ยังดีกว่าการไม่ลงมือทำอะไรเลย เราคงไม่ได้เสียใจในสิ่งที่เราทำผิดพลาด แต่อาจจะเสียใจกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บอกว่า เราไม่ได้ทำมากกว่า ก็อยากจะกลับไปทำ เพราะฉะนั้น คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้เลยวันนี้ การเรียนรู้ทั้งหมดพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ลงทุนในตัวเอง ยอมรับในความเห็นของคนอื่น ถ้ามีโอกาสก็ไปลงมือทำ”


พลเมืองดิจิทัลของ SCB
ขณะที่ “เอก” บอกว่า เวลาพูดถึงความเร็ว จะดีไหมถ้าเราสามารถเรียนรู้ทุกเรื่องเร็วเป็น 10 เท่า สร้างผลลัพธ์มากขึ้น ดีขึ้น ใช้เวลาน้อยลง ทักษะที่เราจะพูดถึง เป็นการเรียนรู้และดึงศักยภาพสมอง แนวคิด design thinking, agile หรือ data analytic ให้กูรูเขาสอนกันไป แต่ถ้าเราจะเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นให้เร็วขึ้น มาคิดสิว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง

“สถาบันฝึกอบรมเอสซีบี อะคาเดมี เราทำไปหลายอย่าง แต่เพิ่มสปีดการเรียนรู้ให้ได้ 10 เท่า เรายังเป็นฝัน ที่ไม่ละความพยายาม แต่เริ่มเห็นหนทาง และทดลองทำมาแล้ว หลายมุมหลายภาพ เราต้องเริ่มจากคำถามว่าทำไม ? คำว่าทำไม มันดียังไง ? แล้วเราจะเริ่มทำความเร็วได้อย่างไร ?

ความเร็วโดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ดี บางเรื่องเร็วไปก็ไม่ดี เช่น การติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า แล้วทำไมเราต้องเรียนรู้ให้เร็วขึ้น ถ้าดูจากกราฟจะเห็นว่านับวันเส้นเทคโนโลยีมันโตเร็วมาก ขณะที่คนเราโตกันแบบจำกัด มีการคิดการวางแผนเป็นเส้นตรง แค่ผลประกอบการดีขึ้น 10-20% เราก็เฮแล้ว”

“เมื่อก่อนเส้นเทคโนโลยีเคยอยู่ข้างใต้เรา แต่วันนี้มันแซงเราไปแล้ว ตั้งแต่วันที่สตีฟ จ็อบส์ โยนไอโฟนออกมา เป็นเส้นจุดตัดทางเทคโนโลยีกับมันสมองคนเรา ถ้าเราคิดแบบเส้นตรง โอกาสพลาดจะสูงมาก ดังนั้น เราต้องพัฒนาให้ทัน

อีกไม่กี่ปีความฉลาดของเทคโนโลยีจะแซงความฉลาดของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ใกล้เข้ามาทุกที ฉลาดจนถึงจุดที่เหนือมนุษย์ ต้องติดตามดูว่าจะมาเมื่อไหร่ เอสซีบี อะคาเดมี เพิ่งเปิดตัวแพลตฟอร์มที่ฉลาดขึ้น ให้คนใช้ชื่อ พลเมืองดี(จิทัล) เปิดโอกาสให้คนทั่วไป 1 ล้านคน เข้ามาเรียนรู้ มีคนเข้าโครงการ 4 พันกว่าคน”

“โครงการนี้เราจะพาไป 1 ล้านโอกาสพัฒนาทักษะทางด้านเทคโนโลยี คนจบมาหางานไม่ได้ ผู้ประกอบการกิจการซบเซา พยายามหาอาชีพให้คนไทยทั้งประเทศ กำหนดเป้าหมาย 5 กลุ่ม คือ เด็กจบใหม่ ผู้ว่างงาน ผู้มองหาอาชีพเสริม และคนเกษียณแต่อยากมีรายได้ เราให้คนเข้ามาค้นหาตัวเองก่อน

ชอบงานลักษณะไหน แอปจะแนะนำงานที่เหมาะกับคุณ มีเส้นทางการเรียนรู้ มีการใช้ AI เราอยู่ช่วงเริ่มต้น การให้คำแนะนำอาจยังไม่ดี สิ่งที่เราทำ เราอยากสร้างความรู้ สร้างโอกาสให้คนทั้งประเทศ คนเราถ้ามีเป้าหมายชัดเจน เขาจะมีกำลังใจ มีความพยายามชัดเจนขึ้น”

พัฒนาแพลตฟอร์มสร้างอาชีพ
นอกจากนั้น “เอก” ยังบอกอีกว่า “เรามีคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ เช่น แพลตฟอร์มแม่มณี สอนสร้างอาชีพ สอนการค้าขายออนไลน์ อีกคอนเทนต์ที่ใช้กันอยู่เป็นการภายใน คือ junior data scientist สำหรับการรับเลือดใหม่เข้ามาทำงาน ผ่านการเรียนออนไลน์ ที่ใช้เวลาไม่นาน คัดเลือกเข้ามา วางแผนตำแหน่งงาน พัฒนา ฝึกงาน และเริ่มงานใหม่ได้ทันที ทีมงานเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับองค์กร สภาพแวดล้อมสำคัญ การเรียนรู้ถ้าอยู่ในสภาพไม่เอื้อ การเรียนรู้สูญเปล่าทันที ต่อให้หลักสูตรดีแค่ไหน”

“เราสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อให้พนักงานดูแลลูกค้า เรา buy in จากผู้บริหาร มองกระบวนการทำงาน อันไหนไม่เอื้อก็ปรับใหม่ ฝึกให้หัวหน้าเข้าใจกระบวนการชัดเจน แล้วไปสอนงานในทีม ทำให้เป้าการขายเราเพิ่มขึ้นเป็น 200%”

ลอรีอัลขับเคลื่อนการเรียนรู้
สำหรับ “หัสนัย” บอกว่า ลอรีอัลมีศูนย์ฝึกอบรมอยู่ 2 ที่ ออฟฟิศสาทร และศูนย์กระจายสินค้าในต่างจังหวัด สำหรับเราแล้วการเรียนรู้ หัวใจคือผู้เรียน ต้องให้ผู้เรียนเข้าไปมีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ ลอรีอัลเป็นองค์กร beauty pure play เรารู้จัก รู้ใจผู้บริโภค

เราทำเรื่องเดียวคือเรื่องความงาม จุดประสงค์เราต้องการสร้างสรรค์ความงามขับเคลื่อนโลก เพราะความมั่นใจทำให้คนเรามีกำลังใจเชิงบวกกล้าออกไปใช้ชีวิตประจำวัน ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้เรียนเปลี่ยนไป, การออกแบบการเรียนรู้เปลี่ยนไป บางที่เรียนรู้ผ่านออฟไลน์บวกออนไลน์ และสร้างการเปลี่ยนแปลงด้าน learning engagement (มีใจอยากเรียนรู้)

ลอรีอัลมีพฤติกรรมหลัก 8 ด้าน เป็นวัฒนธรรมการทำงานที่เกิดขึ้นทุกวัน ลองผิดลองถูก เวลาเกิดอุปสรรค เราจะใช้ความพยายามเรียนรู้ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพื่อเอาชนะอุปสรรค ทั้งยังมีการออกแบบการเรียนรู้ learning above & beyond 4 ระยะ ได้แก่ ให้ผู้บริหารมาโค้ช และเปิดหลักสูตร, กระทบไหล่กูรูคนดังประจำสัปดาห์, สะสมแต้มรับรางวัลการเรียนรู้ทุกวันศุกร์ และสุดยอดผู้เรียนดาวเด่น กวาดรางวัลยาวไป

โดยมีแต้มสะสมแลกของรางวัล จากการเรียนออนไลน์ สะสมชั่วโมงเรียน รางวัลเรียนไม่รู้จักพัก น่ารักไม่รู้จักพอ ครบ 8 ครั้งได้มงลง ได้คอลเล็กชั่นรางวัล ที่ผ่านมาฟีดแบ็กดี พนักงาน 10% ได้รางวัลสูงสุด เรียนครบ 8 สัปดาห์

“นอกจากนั้นยังมีการเลือกเนื้อหาให้เหมาะกับกลยุทธ์องค์กร สอนผ่านวิดีโอ มีแอนิเมชั่นประกอบ เรามีธีม work out from home ถ้าเบื่อเรียนออนไลน์ก็มาออกกำลังกายในชีวิตจริง ทั้งยังมีการกระตุ้นให้หน้าใหม่อยากเข้ามาเรียนรู้ ผ่านโปรแกรมเพื่อนแนะนำเพื่อน เพื่อให้พนักงานรู้สึกดีและรักองค์กร”

“มีพนักงานเข้ามาสมัครร่วมกิจกรรมทั้งหมด 222 คน โดยเราเน้นให้ประสบการณ์ที่ให้รางวัล แต่ต่อมาเราปรับการเรียนวิชาบังคับ การเรียนต้องมีวิชาบังคับ เป็นความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ มี 26 ชั่วโมงต่อคนในการเรียนรู้ ถือว่าก้าวหน้าในการทำงาน 3 เดือนแรกชั่วโมงเรียนไม่มาก เน้นสร้างนิสัยรักการเรียนรู้ โดยใช้รางวัลเป็นสิ่งจูงใจ หลังจากนั้นเริ่มเรียนวิชาบังคับ ทำให้คนคุ้นชิน และเข้าใจ KPI องค์กร”

“ถามว่าการดีไซน์กิจกรรม ส่งผลต่อ KPI อย่างไร ต้องบอกว่าองค์กรจะได้ขีดความสามารถของพนักงานงอกขึ้นมา ได้ภาวะผู้นำ เรามีคำขวัญว่า learning today, shape tomorrow (ลุยเรียนไปเลยวันนี้ จะได้ดูดีในวันข้างหน้า) เราไม่เน้นการเรียนรู้แบบแบน ๆ ระยะเวลาหลักสูตร 9 สัปดาห์ ต้องหากิจกรรมอะไรสนุก ๆ เข้ามาแจม ทุกการทำงานล้วนมีอุปสรรค มองอุปสรรคให้เป็นโอกาส อ้าแขนรับมัน และใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่เรามีอยู่”


สร้างคนด้วยทักษะขั้นสูง
นอกจากนั้น “ธีริศรา” ยังกล่าวว่า เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์แนวลักเซอรี่ เราเชื่อในการส่งมอบบริการที่เป็นเลิศให้ลูกค้า คนของเราต้องเป็นเลิศด้วยเช่นกัน สร้างประสบการณ์เรียนรู้ของพนักงานผ่านการทำงานจริง ถ้าพนักงานเข้าใจ ได้รับประสบการณ์เรียนรู้เป็นเลิศ สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้คือ เราเป็นองค์กรที่ดีที่สุด

“ก่อนที่เราจะนำโมเดลการเรียนรู้มาใช้กับพนักงาน เราสร้างการเรียนรู้ให้พนักงานเปิดใจ ผ่านไลฟ์สเคป อะคาเดมี่ เป็นโมเดลการเรียนรู้ เน้นสร้างประสบการณ์เรียนรู้ สำหรับกลุ่มพนักงานที่ต้องให้บริการลูกค้า เอา feed back ลูกค้ามาวิเคราะห์ แล้วสร้างเป็นองค์ความรู้ สร้างระบบองค์ความรู้ที่สำคัญ เราสร้างคนผ่านสถาบันไลฟ์สเคป อะคาเดมี่ และสร้างการเปลี่ยนผ่านใน 3 ด้าน คือ ด้านคน ด้านวัฒนธรรม และด้านดิจิทัล ด้วยการนำ 3 มิติมาสร้างประสบการณ์เรียนรู้ให้พนักงาน”

ดังนั้น องค์ประกอบในการ “สร้างคน” ให้มีทักษะสุดยอดบริการจึงต้องมี 4 เรื่องด้วยกัน คือ

หนึ่ง คัดสรรคน เอาเครื่องมือมาวัด DNA ให้มีโครโมโซมเหมือนองค์กร มีทดสอบ simulation มีหลักสูตร ผู้จัดการฝึกหัด มีทางเดินทางอาชีพให้สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดด

สอง เน้นพัฒนาพนักงานกลุ่มให้บริการลูกค้า ผ่านโปรแกรมปฐมนิเทศ ปรับชุดความคิด mindset ให้หลอมรวมเป็น DNA หนึ่งเดียวกัน สร้างคุณลักษณะที่จำเป็น ที่สอดคล้องกับค่านิยมองค์กร ฝึกการเรียนรู้จริง จากประสบการณ์จริง ส่งเสริมการเรียนรู้ ทิ้งประสบการณ์เก่า ออกตามหาประสบการณ์ใหม่

สร้างรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นติดตามผล มีระบบโค้ชชิ่ง ทำแบบจำลองบทบาทสมมุติ ฝึกการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง ให้พนักงานได้เข้าใจแนวทางการพัฒนาตนเอง โดยวัดผลจากคำชมของลูกค้า และวัดผลจากข้อเสนอแนะต่าง ๆ

สาม มาตรฐานบริการเป็นเลิศ ปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจประเมินมาตรฐานการทำงาน สร้างทีมนินจา agile เป็นคณะกรรมการวิเคราะห์ หาแนวทางปรับปรุงการบริการที่ดีที่สุด สร้างแรงจูงใจพนักงานผ่านการให้รางวัล

สี่ เปิดโอกาสให้พนักงานได้เติบโต สามารถเป็นตัวแทน เป็นแบบอย่างที่ดีของการให้บริการลูกค้าที่เป็นเลิศ

“ธีริศรา” บอกอีกว่า เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เน้นสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้คนมี upskill, reskill ตลอดเวลา พยายามให้ความรู้ ทักษะใหม่ พัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องของ 1.mindset 2.skillset ขยายชุดความคิดให้เติบโต ความรู้เก่าไป (unlearn) ความรู้ใหม่มา (relearn)

เน้นพัฒนาพนักงานจากการเรียนรู้ข้ามสายงาน เช่น จากบัญชีย้ายมาทำฝ่ายขาย สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกับองค์กร จนสามารถฉีกแนวธุรกิจไปหากิจการอื่น ๆ เช่น ธุรกิจที่ปรึกษาพีเพิลสเคป จากกรอบการสร้างคนให้มีสุดยอดทักษะของเรา

“การ upskill, reskill เราสร้างสภาพแวดล้อมให้พนักงานหาความรู้ใหม่ ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น KM (knowledge management) พอดแคสต์ เพื่อตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล”

“นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร เพื่อส่งเสริมให้เกิดค่านิยมหลัก ทำให้คนเห็นภาพเดียวกัน ในโลกของการเปลี่ยนแปลงและการรับมือกับดิจิทัล เราเน้นเรียนรู้ผ่านออนไลน์ ฝึกคนให้รักการเรียนรู้ เข้าถึงความรู้อย่างต่อเนื่องได้ตลอดเวลา”

“เป๊ปซี่โค” มอง 4 เสา สร้างคน
ขณะที่ “ธีรวัฒน์” บอกว่า เป็ปซี่โคเป็นธุรกิจในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เราต้องการสร้างรอยยิ้มให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน แม้แต่โลกใบนี้ก็ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจ ที่สำคัญ เราต้องการเป็นองค์กรที่ เคลื่อนที่เร็ว (faster) แข็งแรง (stronger) ทั้งในด้านความสามารถขององค์กร คน และวัฒนธรรม เป็นองค์กรน้ำดี (better) มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับผู้คน
ดังนั้น บทบาทสำคัญที่เปลี่ยนไปของ L&D เป๊ปซี่โคจึงมี 6 เรื่องด้วยกัน คือ

หนึ่ง เปลี่ยนจาก “การวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า” มาเป็น “ความเข้าใจเชิงลึก” เข้าใจวิธีคิด ชีวิตความเป็นอยู่ และให้ความเห็นอกเห็นใจ กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน

สอง เปลี่ยนจาก “การผลิตสินค้าปริมาณมากเฉพาะกลุ่ม” มาเป็น “การคำนึงถึงโอกาสและความจำเป็นแต่ละบริบท”

สาม เปลี่ยนจาก “การยกระดับทักษะของคนทำงาน” มาเป็น “มุ่งให้คนทำงานขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง”

สี่ เปลี่ยนจาก “การนำโดยทีม L&D” มาเป็น “การกระจายปัญหาไปยังกลุ่มคน เพื่อค้นหาคำตอบและวิธีการแก้ปัญหาทางธุรกิจร่วมกัน” ตามแนวคิดหลายหัวดีกว่าหัวเดียว

ห้า เปลี่ยนจาก “การฝึกอบรม” มาเป็น “การบ่มเพาะ”

หก เปลี่ยนจาก “ห้องแห่งการเรียนรู้” มาเป็น “ห้องแห่งการทดลองค้นคว้า” ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งหมดนี้จะมาเชื่อมโยงกับ 4 เสาของการสร้างคนและการเรียนรู้ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจที่ประกอบด้วยเรื่องคนเข้ามาใหม่ ทำอย่างไรให้พร้อมเริ่มงานได้เร็วที่สุด, สร้างผู้นำตุนไว้, สร้างธุรกิจให้เติบโต และสร้างทีมให้แข็งแกร่ง

ดังนั้น ผลที่ได้รับจากการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ และพัฒนาคนจะมีหลายเรื่องด้วยกัน คือ ได้แนวทางการทำงานที่คล่องแคล่วแบบ agile, มีคนเก่งและข้อมูลดี ๆ เอาไว้ขับเคลื่อน, เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในองค์กร, นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรที่ดียิ่งกว่า, ช่วยพัฒนาคนเก่ง, เป็นองค์กรที่มีศักยภาพ เหมาะแก่การลงทุน และเพื่อส่งมอบคุณค่าแห่งความยั่งยืนให้องค์กร

“ดังนั้น เมื่อพนักงานผ่านการเดินทางของการเรียนรู้ จะเข้าใจธุรกิจมากขึ้นเราต้องทำให้คนของเรามีความรู้ความเข้าใจในทักษะการทำธุรกิจ สร้างคนที่เก่งอยู่แล้วให้เก่งยิ่ง ๆ ขึ้นไป ผ่านเครื่องมือการเรียนรู้ต่าง ๆ สุดท้ายงาน L&D จะไปช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน”

9182
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 

9183
งานนี้ไม่ยากเหมือนอย่างที่คิดแค่หาออร์เดอร์มาส่งเค้าทำ หรือ ซื้อเครื่องทำเองซะเลย ง่ายมากๆ

9184


‘ส.ตราสารหนี้ไทย’ ชี้ปี 64 เห็นมูลค่าออกหุ้นกู้ทะลุ 1 ล้านล้านบาทแน่ โตแรงไม่หวั่นโควิด-ล็อกดาวน์
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ไทยบีเอ็มเอ) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทย ในปัจจุบันยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้มีการระบาดโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ โดยมูลค่าการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ (สะสม 9 เดือน) เพิ่มขึ้น 54% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 มียอดการออกรวมเท่ากับ 817,556 ล้านบาท

โดยกลุ่มธุรกิจที่เสนอขายสูงสุด 5 กลุ่มแรกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ได้แก่ พลังงาน 20.6% อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 15.1% ธุรกิจการเงิน 13.6% บริการ 12.8% และเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 11.8% ซึ่งพบว่าผู้จัดจำหน่ายใช้ช่องทางติดต่อเสนอขายตราสารหนี้ผ่านออนไลน์และแอพพลิเคชั่นมากขึ้น ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ทำให้แม้มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่ยังเห็นการซื้อขายหุ้นกู้เหมือนภาวะปกติ หลังจากมีตัวอย่างการล็อกดาวน์ในช่วงที่ผ่านมาแล้วว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการออกหุ้นกู้ และการซื้อมากนัก โดยในปี 2564 ประเมินว่าโอกาสที่จะเห็นการออกหุ้นกู้มีมูลค่าทะลุ 1 ล้านล้านบาทได้ และเชื่อว่ามูลค่าจะเกินเป้าหมายที่คาดไว้ช่วงต้นปีนี้ ว่าจะมีการออกหุ้นกู้มูลค่าประมาณ 9 แสนล้านบาทแน่นอน


“สถานการณ์หุ้นกู้ในประเทศไทย หลังเห็นวิกฤตกรณีเอเวอร์แกรนด์ หรือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับสองของจีน ที่ขาดสภาพคล่องนั้น จะมีความกังวลถึงหุ้นกู้ในกลุ่มอสังหาฯ ไทยหรือไม่ ขณะนี้มองว่ายังไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เพราะหากประเมินจากผู้ออกหุ้นกู้ในรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่ามีความหลากหลายกว่า 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของมูลค่าหุ้นกู้ทั้งหมด ไม่ได้กระจุกตัวมากนักในกลุ่มอสังหาฯ หรือกลุ่มอุตสาหกรรมใดกลุ่มเดียวเท่านั้น โดยกลุ่มอสังหาฯ มีสัดส่วนเพียง 11% ของหุ้นกู้คงค้างทั้งหมด หรือประมาณ 4.4 แสนล้านบาทเท่านั้น จากมูลค่าหุ้นกู้คงค้างทั้งหมดประมาณ 4 ล้านล้านบาท รวมถึงกลุ่มอสังหาฯ กว่า 75% เป็นผู้ออกหุ้นกู้ในกลุ่มระดับลงทุน หรืออินเวสต์เมนต์ เกรดทั้งนั้น ซึ่งจะมีเรทติ้งตั้งแต่ AAA จนถึง BBB- หมายความว่าเป็นหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทที่มั่นคง ผลประกอบการดี อยู่ในกลุ่มที่น่าลงทุน” นางสาวอริยากล่าว

นางสาวอริยากล่าวว่า ด้านกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (ฟันด์โฟลว์) ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 พบว่า นักลงทุนยังคงซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยกว่า 37,579 ล้านบาท แต่กลับมาขายสุทธิค่อนข้างมากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ยังเห็นว่านักลงทุนต่างชาติ ยังมียอดการซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 915,918 ล้านบาท คิดเป็น 6% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทย โดยกว่า 90% เป็นการถือครองในตราสารหนี้ระยะยาว และมีอายุเฉลี่ยของพันธบัตรที่ถือครองเท่ากับ 9.4 ปี

โดยเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ของไทยในช่วงไตรมาส 3 ปรับตัวในทิศทางขาขึ้น นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตามทิศทางเดียวกันกับพันธบัตรสหรัฐจากทั้งปัจจัยภายนอก ได้แก่ แนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐ และการทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ ปริมาณพันธบัตรที่จะเพิ่มขึ้นมากจากความต้องการระดมทุนของรัฐบาลไทย ทำให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 2 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 0.18% มาอยู่ที่ร้อยละ 0.56 และรุ่นอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 0.61% มาอยู่ที่ 1.89%

นางสาวอริยากล่าวว่า สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564 นี้ แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีล) จะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางในตลาดโลก แต่ส่วนชดเชยความเสี่ยง (Credit spread) ของหุ้นกู้ที่ปรับลดลง ประกอบกับสภาพคล่องในระบบ ทำให้ต้นทุนของผู้ออกตราสารหนี้ภาคเอกชนไม่ได้เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้น ทำให้การออกหุ้นกู้ระยะยาวของปีนี้จะไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ ส่วนทิศทางบอนด์ยีลระยะยาวในรุ่น 10 ปีของไทย ในช่วงที่เหลือของปีนี้เชื่อว่าจะปรับขึ้นได้อีกไม่มากนัก เพราะตลาดได้ปรับตัวล่วงหน้าสะท้อนปัจจัยหลักต่างๆ ไปแล้ว โดยอาจแกว่งตัวได้ตามตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะมีการทยอยประกาศออกมา

9185
ยี่ห้อ Design Living Better
กระเบื้องยาง คุณภาพดี กันน้ำ กันUV ทนทานต่อแรงขีดข่วน ปลวกไม่กิน การยืดหดตัวน้อยกว่ากระเบื้องยางใช้ตกแต่งบ้าน ห้องนอน ร้านค้า ให้ความนุ่มเวลาเดินและสีสันเหมือนไม้จริง ง่ายต่อการทำความสะอาดเคลือบ UV สามารถโดยแดดได้ อายุการใช้งานยาวนาน อายุการใช้งาน 7 -10 ปี 

9188
การดำเนินการนโยบายทางราคาพลังงานในไทย ด้วยการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลถือว่าเป็นการแทรกแซงตลาดเพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนลดค่าครองชีพ และลดภาระต้นทุนภาคเอกชน หากแต่อีกด้านย่อมมีผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มปั๊มน้ำมันรายใหญ่ของไทยหลีกเลี่ยงไมได้

การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในรอบนี้กลับไม่เป็นผลดีต่อนโยบายฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก ที่เตรียมจะฟื้นตัวหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 จนทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีปัจจัยนอกเหนือฤดูกาลเข้ามาหนุนราคาพลังงาน เช่น “วิกฤติขาดแคลนพลังงานของจีน ” การกักตุนสินค้าน้ำมันในอังกฤษ และ ความขัดแย้งของรัสเซียที่เป็นผู้ขายก๊าซรายใหญ่ของโลกกับยูเครน

ปัจจัยดังกล่าวทำให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติล่าสุด “อุ้มน้ำมันดีเซล” ให้อยู่ที่ระดับ “ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร” ผ่านแนวทางปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของดีเซล B7 จาก 1 บาท เหลือ 0.1 บาท มีผลให้ราคาลดลงทันทีลิตรละ 1 บาท เพื่อกดราคา B7 ลงมาจากปัจจุบันเกิน 30 บาทต่อลิตรไปแล้ว

การปรับลดสัดส่วนผสมดีเซลจาก B10 และ B7 เป็น B6 ในช่วงระหว่างวันที่ 11-31 ต.ค.นี้ และลคค่าการตลาดดีเซลเหลือ 1.40 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร รวมทั้งเตรียมเงินกองทุนน้ำมันราว 3 พันล้านบาท

โดยใช้เม็ดเงินจากกองทุนน้ำมันฯเข้ามาอุดหนุนประมาณ 2.08 บาทต่อลิตร รวมระยะเวลา 21 วันใช้เงินจากกองทุนน้ำมันรวม ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาก๊าซ LNG ซึ่งใช้ในภาคครัวเรือนจะมีการอุดหนุนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนม.ค. 2565

มาตรการดังกล่าวย่อมส่งผลบกระทบมายังธุรกิจปั๊มน้ำมันโดยตรง จากการลคค่าการตลาดดีเซลเหลือ 1.40 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร หรือเป็นการปรับลดลง 28.57 % ในธุรกิจดังกล่าวมีโครงสร้างรายได้และยอดขายที่สูงแต่อัตรากำไรอยู่ในระดับต่ำ จากภาวะความผันผวนราคาน้ำมัน ภาษี ค่าการตลาด และต้นทุนอื่น จนทำรายใหญ่ทำรายได้ระดับแสนล้านบาทมีกำไรพันล้านบาท

ดังนั้นทำให้รายใหญ่ต่างเร่งกระจายรายได้ไปยังธุรกิจนอนออยล์มากขึ้นเพื่อลดผลกระทบดังกล่าวให้มากขึ้น  ซึ่งในตลาดนี้ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด หนีไม่พ้น บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่ 40.70 % ถัดมาเบอร์ 2 ที่ก้าวกระโดด บริษัทพีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG 16.60 % อันดับ 3 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ที่15.60 % และ บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ที่12 %

แทบทุกบริษัทได้เจอผลกระทบดังกล่าวถ้วนหน้าเนื่องจากตามโครงสร้างรายได้ธุรกิจน้ำมันยังเป็นสัดส่วนรายได้หลักมากกว่า 50 % แต่สถานการณ์จะมีผลหนักหน่วงไม่เท่ากันเนื่องจาก มาตรการออกมาพุ่งเป้าไปที่กลุ่มน้ำมันดีเซล เป็นหลัก ทำให้หากรายไหนมีพอร์ตน้ำมันดีเซลมากที่สุดได้รับผลกระทบหนักตามไปด้วย

โดย PTG นอกจากจะมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจน้ำมันมากที่สุดใน 4 รายใหญ่แล้วที่ 96 % กลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิงที่บริษัทขายในสัดส่วนที่มากที่สุด 72% เป็นน้ำมันดีเซล ส่วนที่เหลือ 28% เป็นน้ำมันเบนซิน ส่วน OR สัดส่วนรายได้ธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 91.2 % ,BCP อยู่ที่ 70 % เนื่องจากมีธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลักและเร่งกระจายไปยังธุรกิจพลังงานสีเขียวมากขึ้น และ ESSO มีสัดส่วน 85 % ของรายได้ 

อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวกินเวลาเพียงช่วงต.ค. หากสถานการณ์น้ำมันดีขึ้นทำให้ผลกระทบจำกัด แต่หากมาตรการลากยาวไปถึงสิ้นปี 2564 ทำให้ไตรมาส 4ปี 2564 เจอผลกระทบด้านกำไรลดลงมากที่สุดอีกไตรมาสหนึ่ง

9189
งานนี้ไม่ยากอย่างที่คิดแค่หาออร์เดอร์มาส่งเค้าทำ หรือ ซื้อเครื่องทำเองซะเลย ง่ายดายๆ

9190
ออสซี่ออยล์

9191
NT เดินทัพรวมจุดแข็งบรอดแบนด์ 2 องค์กรเดิม (ทีโอที - กสท โทรคมนาคม)โชว์ศักยภาพหลังควบรวมสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกันได้ ชู ‘ราชบุรีโมเดล’ ให้บริการลูกค้ารัฐ-เอกชน ช่วยเพิ่มฐานลูกค้า ลดความซ้ำซ้อนการลงทุน ด้วยบริการเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ พร้อมเร่งขยายแนวคิดบูรณาการไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศให้เร็วที่สุด

***ชูศักยภาพทรัพยากรไอทีครบวงจร

สิ่งที่รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน)และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) เป็น บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด(มหาชน) หรือ NT ก็คือทรัพยากรโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่มีมูลค่ามากถึง 3 แสนล้านบาทแบ่งเป็น 1.เสาโทรคมนาคมรวมกันกว่า 25,000 ต้นทั่วประเทศ 2.เคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศ 9 ระบบ 14 POP เชื่อมต่อไปยังทุกทวีป 3.ถือครองคลื่นความถี่หลักเพื่อให้บริการรวม 6 ย่านความถี่ มีปริมาณ 600 MHz 4.ท่อร้อยสายใต้ดินมีระยะทางรวม 4,000 กิโลเมตร 5.สายเคเบิลใยแก้วนำแสง 4 ล้านคอร์กิโลเมตร 6.ดาต้า เซ็นเตอร์ 13 แห่งกระจายอยู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และ7.ระบบโทรศัพท์ระหว่างประเทศที่เข้าถึงได้จากทุกเลขหมายในโลก รวมถึงมีศูนย์บริการทั่วประเทศกว่า 500 แห่งด้วย

NT จึงกลายเป็นองค์กรที่สามารถให้บริการได้หลากหลายและมีศักยภาพที่เอกชนไม่สามารถมองข้ามได้ หลังการควบรวมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2564 NT ก็ไม่ได้รอช้าในการนำจุดแข็งของความเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่มีทรัพยากรด้านโทรคมนาคมมากที่สุดมาบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อให้บริการลูกค้าเพราะเมื่อทั้ง 2 องค์กรเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วฐานลูกค้าของทั้ง 2 บริษัทก็จะกลายเป็นลูกค้าของบริษัทเดียวกัน

โดยเฉพาะบริการบรอดแบนด์ซึ่งข้อมูลเดือน ก.ค. 2564 พบว่า NT มีลูกค้าบรอดแบนด์ จำนวน 1,864,924 พอร์ต แบ่งเป็น NT1 คือ กสท โทรคมนาคม เดิม 236,414 พอร์ต คิดเป็นสัดส่วน 12.68% และ NT2 คือ ทีโอทีเดิม 1,628,510 พอร์ต คิดเป็นสัดส่วน 87.32%

***‘ราชบุรี โมเดล’ ต้นแบบ 2 เน็ตเวิร์กบริการเดียว



น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ NT กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายให้ 2 องค์กรรวมกันเป็นหนึ่งเราก็ได้เริ่มสำรวจทรัพย์สินร่วมกันและเริ่มทดลองทดสอบการใช้งานโครงข่ายบรอดแบนด์ร่วมกัน ตลอดจนนำมาทดลองใช้ทดแทนกัน

ดังนั้นเมื่อการควบรวมเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเราก็เริ่มดำเนินการบูรณาการทรัพย์สินร่วมกันได้ทันที โดยเฉพาะบริการบรอดแบนด์ซึ่งเป็นบริการที่ NT มีความแข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสายไฟเบอร์ออปติก อุปกรณ์โครงข่าย ทีมช่าง ตลอดจนศูนย์บริการลูกค้า

NT จึงได้นำร่องเปิด‘ราชบุรี โมเดล’ในการผสานเน็ตเวิร์กของทั้ง 2 บริษัทเดิมมาให้บริการกับลูกค้าของNT ในจังหวัดราชบุรีทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 30 แห่ง อาทิ รพ.ราชบุรี,ร.ร.ปากท่อพิทยาคม,บริษัท ราชาเซรามิค จำกัดและบริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัดเป็นต้นโดยตั้งเป้าจะขยายการทำงานในรูปแบบนี้ไปยังจังหวัดต่างๆทั่วประเทศให้เร็วที่สุด

เมื่อถามว่าเพราะเหตุใดถึงเลือกจ.ราชบุรี เป็นที่แรก น.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า เพราะเป็นจังหวัดที่เหมาะสมในการทดสอบการใช้งานอุปกรณ์ร่วมกันของทั้ง 2 บริษัทเดิม เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากทั้งที่เป็นของทีโอทีเดิมและกสท โทรคมนาคมเดิม ขณะที่ในบางพื้นที่ของจังหวัดราชบุรีนั้นโครงข่ายของกสท โทรคมนาคม ก็ไปไม่ถึงหรือบางพื้นที่สายไฟเบอร์ของทีโอทีหมดอายุจึงเป็นโจทย์ที่เหมาะสมในการยกเป็นโมเดลนำร่องสำหรับจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ

ซึ่งในจุดใดที่การให้บริการของกสท โทรคมนาคมไปไม่ถึง แต่ทีโอทีมีสายไฟเบอร์ไปถึง ก็สามารถนำไปเสนอบริการให้ลูกค้าเพิ่มเติมได้ ส่วนกรณีอุปกรณ์หรือสายไฟเบอร์ของทีโอทีในพื้นที่ใดหากหมดอายุการใช้งานหรือเสื่อมสภาพไป เราก็ไม่ต้องลงทุนใหม่แต่ใช้การบูรณาการโดยการนำทรัพย์สินของกสท โทรคมนาคมมาใช้งานร่วมกันได้เพื่อไม่ให้การใช้งานของลูกค้าสะดุด อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุน ไม่มีการลงทุนซ้ำซ้อน สุดท้ายผลประโยชน์ก็ตกกับลูกค้าที่ได้บริการในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง และเราเองก็มีแต้มต่อที่เหนือกว่าคู่แข่งอีกด้วย

ทั้งนี้ ‘ราชบุรี โมเดล’ อยู่ภายใต้โครงการ ‘Dual Network Solution’ สำหรับลูกค้าเอกชนและราชการ ซึ่งเป็นการทำงานกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องของทีมบรอดแบนด์ของทั้ง 2 องค์กรเดิมที่เห็นพ้องต้องกันว่าต้องมีการเชื่อมต่อโครงข่ายร่วมกันเพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ โดยการทำงานของคณะทำงานบรอดแบนด์นี้ได้ทำงานร่วมกันตั้งแต่ก่อนการควบรวมอย่างเป็นทางการแล้ว

ในการศึกษารูปแบบโครงข่ายและการให้บริการของกันและกันรวมถึงเรื่องมาตรฐานด้านโครงข่าย,อุปกรณ์ตลอดจนมาตรฐานงานติดตั้งและการแก้ไขเหตุเสีย ขัดข้องเพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งทีมช่างในพื้นที่จ.ราชบุรี ของทั้ง 2 องค์กรเดิมมีการสื่อสารและทำงานร่วมกันเป็นอย่างดีทำให้เกิดการออกแบบรูปแบบการทำงานร่วมกันว่าตรงส่วนไหนต้องใช้อุปกรณ์หรือโครงข่ายของใครในการเชื่อมต่อให้ลูกค้า เพื่อให้เป็นบริการเนื้อเดียวกันให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุด

ในขณะที่ลูกค้าที่ใช้งานตามบ้านตลอดจนลูกค้า SME ทีมงานก็ได้มีการพัฒนาเฟิร์มแวร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการผ่านโครงการ ‘1 ONU 2 ISP’ ภายใต้แนวคิด ต้องให้บริการด้วยต้นทุนที่ไม่เพิ่มขึ้น หรือ เพิ่มได้เล็กน้อยด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ NT จะสามารถมีเหนือกว่าผู้ให้บริการบรอดแบนด์รายอื่นในตลาดได้ เพราะคู่แข่งแต่ละรายมีโครงข่ายและเกตเวย์เดียว แต่ NT มี 2 โครงข่ายทำให้สามารถใช้งานร่วมกันหรือสำรองการใช้งานกันและกันได้ เมื่ออีกโครงข่ายเกิดปัญหา

ยกตัวอย่างการใช้ทรัพยากรร่วมกันทั้งโครงข่ายและชุมสายในจ.ราชบุรี ได้แก่ ชุมสายห้วยกระบอกโดย NT1(กสท โทรคมนาคม)ใช้ Core Fiber ของ NT2(ทีโอที) เพื่อเชื่อมต่อโหนดในโครงการมอเตอร์เวย์ทำให้สามารถลดการลงทุนโครงข่ายใหม่ที่ซ้ำซ้อนลงได้, เคเบิลเส้นทางห้วยผากของโรงเรียนรุจิรพัฒน์ (ชายแดน) ถูกไฟไหม้ NT1 มีเคเบิลชนิดกันไฟ จึงให้ NT2 ดำเนินการแขวนและใช้ Core Fiber ร่วมกัน ,การใช้โครงข่ายร่วมกันในพื้นที่อ.สวนผึ้งและอ.บ้านคา ในโครงการพัฒนาแนวทางป้องกันการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย จ.ราชบุรี

การเช่าสื่อสัญญาณโครงข่ายเพื่อติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV ตามแนวชายแดนพื้นที่ตำรวจภูธร จ.ราชบุรี ประจำปีงบประมาณ 2564 รวมถึงการย้ายโหนด NT1มาติดตั้งที่ชุมสายจอมบึง NT2 เพื่อลดค่าเช่าพื้นที่ของ NT1, การที่ NT1ขอใช้พื้นที่ชุมสายบางแพของ NT2 เพื่อติดตั้งโหนด, การทำโครงการ 1669 กับรพ.ราชบุรีในการเป็นระบบแบ็กอัปให้รพ.เป็นต้น

‘ราชบุรี โมเดล ทำให้เรามั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ของ NT ในพื้นที่ทุกคนทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี เพราะเห็นได้จากการทำงานที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในจ.ราชบุรี การขยายผลต่อเนื่องเพื่อให้การทำงานของทั้ง2 องค์กรเป็นเนื้อเดียวกันนั้นต้องขยายไปสู่ศูนย์บริการที่เรามีกว่า 500 แห่งทั่วประเทศด้วยลูกค้าต้องไม่รู้สึกว่าเราเป็นคนละบริษัทกัน เราต้องบริหารจัดการทรัพย์สินโครงข่ายดูแลลูกค้า ที่สำคัญคือแผนการปฏิบัติการประจำปีต้องเป็นแผนเดียวกันทำงานภายใต้ KPI เดียวกัน มีการนำเสนอขายบริการร่วมกันเพื่อเป็นอาวุธสำคัญในการเป็นที่หนึ่งเหนือคู่แข่งในตลาดให้ได้’น.อ.สมศักดิ์กล่าว

***ลูกค้ามั่นใจ 2 เน็ตเวิร์กแต้มต่อเหนือเอกชน



ปัจจุบัน NT มีการให้บริการลูกค้าข้ามโครงข่ายในจ.ราชบุรี แล้ว 30 ราย แบ่งเป็นการใช้อินเทอร์เน็ต NT1 ร่วมกับโครงข่าย NT2 จำนวน 29 รายและการใช้อินเทอร์เน็ต NT2 ร่วมกับโครงข่าย NT1 จำนวน 1 ราย นอกจากนี้ยังมีการให้บริการตัดถ่าย Wi-net โดยใช้โครงข่าย NT1 จำนวน 3 รายโดยลูกค้ารายใหญ่และเป็นรายแรกที่ใช้บริการของทีโอทีเดิมตั้งแต่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตเข้าถึงคือบริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัดก็ยินดีที่ทั้ง 2 องค์กรนำทรัพยากรมารวมกันเพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ

เภสัชกรศุภชัย สายบัว ประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการ บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด กล่าวว่าบริษัทตั้งอยู่ในต.น้ำพุ อ.เมือง จ.ราชบุรี ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตยา, อาหารเสริมและเครื่องสำอางค์ หากย้อนไปเมื่อ28 ปีที่แล้ว แม้ว่าบริษัทจะอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองมากนัก

แต่ในสมัยนั้นอินเทอร์เน็ตยังเข้าไม่ถึงต้องสื่อสารผ่านโทรศัพท์และพัฒนาการเป็นดาวเทียมไอพี สตาร์ แต่ก็ไม่ตอบสนองการใช้งานเท่าที่ควรต่อมาเมื่อมีอินเทอร์เน็ตก็ทำให้การทำงานสะดวกขึ้นมาก บริษัทเป็นลูกค้าทีโอทีมานานเพราะเชื่อใจบริษัทรัฐวิสาหกิจที่ต่างจากเอกชนคือไม่ได้เห็นการทำงานเพื่อหวังกำไรมากมายเพียงอย่างเดียว ด้วยความเป็นรัฐย่อมมีธรรมาภิบาลในการทำงานซึ่งตรงนี้สำคัญ

ดังนั้นเมื่อทีโอทีกลายเป็น NT บริษัทจึงไม่รอช้าและยินดีที่ระบบของทั้ง 2 บริษัทเดิมมาทำงานเสริมร่วมกันเมื่อทำงานร่วมกันแล้วไม่พบปัญหาสามารถทำงานเข้ากันได้ดีและมีความเสถียรโดยสิ่งสำคัญของระบบบริษัท คือ การเชื่อมต่อระบบ ERP ของ จ.ราชบุรีกับกรุงเทพฯ แบบไม่สะดุด รวมถึงบริษัทยังมีแผนเชื่อมต่อระบบไปยังตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศในการส่งข้อมูลยอดการสั่งสินค้าเข้ามาในระบบเพื่อง่ายในการบริหารจัดการและความรวดเร็วในการทำงานอีกด้วย

‘อินเทอร์เน็ตคือหัวใจสำคัญของทุกเรื่อง เราสามารถหาข้อมูลวิจัยได้ทุกที่โดยไม่ต้องเดินทาง การส่งข้อมูลถึงกันรวดเร็ว เราสามารถบริหารจัดการออเดอร์ได้ง่าย จากการใช้บริการทีโอทีมากว่า 14 ปี ยอมรับว่ามีปัญหาบ้างแต่ก็ได้รับการแก้ไขโดยเร็วเราจึงมั่นใจ 100 % เมื่อทั้ง 2 องค์กรรวมกันว่าจะสามารถให้บริการได้ดียิ่งขึ้น’

‘ราชบุรี โมเดล’จึงนับเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรมแรกของ NT หลังจากควบรวมกิจการ และจะขยายโมเดลนี้ไปทั่วประเทศทำให้บรอดแบนด์ของ NT สามารถแข่งกับเอกชนได้ด้วยโครงข่ายที่มากกว่าแต่ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง

9192
ยี่ห้อ Design Living Better
กระเบื้องยาง คุณภาพดี กันน้ำ กันUV ทนทานต่อแรงขีดข่วน ปลวกไม่กิน การยืดหดตัวน้อยกว่ากระเบื้องยางใช้ตกแต่งบ้าน ห้องนอน ร้านค้า ให้ความนุ่มเวลาเดินและสีสันเหมือนไม้จริง ง่ายต่อการทำความสะอาดเคลือบ UV สามารถโดยแดดได้ อายุการใช้งานยาวนาน อายุการใช้งาน 7 -10 ปี 

9195



ผู้หญิงที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย มักจะหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ตอบโจทย์กับผิวหน้าได้ยากแสนยาก เพราะถ้าหากเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างไม่ละเอียดถี่ถ้วนก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ อาการระคายเคืองตามมาได้ แต่หลังจากนี้สาว ๆ ทุกคนจะไม่ต้องกังวลผิวแพ้ หน้าอักเสบ และเกิดการระคายเคืองอีกต่อไป เพราะด้วย อิมัลชั่น Biotherm Life Plankton™ Sensitive Emulsion เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้หญิงที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ดังนั้น ทุกคนสามารถไว้ใจได้เลยว่า หากใช้อิมัลชั่นขวดนี้จะรู้สึกถึงความแข็งแรงของผิว และสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเพื่อผิวหน้าของเรา หมดกังวลเรื่องผิวแพ้ง่ายอีกต่อไป 


ผิวบอบบาง แพ้ง่ายเป็นผิวที่ค่อนข้าง Sensitive เป็นอย่างมาก ซึ่งสำหรับบางคนจะไม่สามารถสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเป็นส่วนผสมได้เลย จึงจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพวกเวชสำอางหรือออร์แกนิคเท่านั้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงอาการต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผิวหน้า  แต่เมื่อใช้อิมัลชั่น Life Plankton™ Sensitive Emulsion ปัญหาผิวแพ้สารจากสารเคมีต่าง ๆ จะลดลงเพราะว่าอิมัลชั่นตัวนี้ไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการแพ้อย่างพาราเบน แอลกอฮอล์ สารแต่งสี น้ำมันแร่ และสารก่อภูมิแพ้จากน้ำหอม จึงมั่นใจได้เลยว่าก่อให้เกิดการแพ้ต่ำอย่างแน่นอน 


สำหรับคุณสมบัติอันโดดเด่นของ Biotherm Life Plankton™ Sensitive Emulsion สามารถบำรุงผิว พร้อมปลอบประโลมผิวที่เคยถูกทำร้าย พร้อมปรับสมดุลผิว ทำให้รู้สึกถึงความชุ่มชื้นของผิวมากขึ้น มีผิวที่แลดูเรียบเนียนและมีสีผิวที่แลดูสม่ำเสมอมากขึ้น โดยประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมนี้เกิดขึ้นเพราะภายในอิมัลชั่นอุดมไปด้วยส่วนผสมที่เติมคุณค่าแห่งการบำรุงผิวอย่างแท้จริง 


โดยส่วนผสมหลักภายในอิมัลชั่น Biotherm Life Plankton™  Sensitive Emulsion ประกอบไปด้วย LIFE PLANKTON™ มาพร้อมความเข้มข้นสูงสุดถึง 5% จึงช่วยในการบำบัดดูแลผิว พร้อมปลอบประโลมผิวอ่อนแอที่เคยถูกทำร้ายมาให้ดูแข็งแรงขึ้น ทั้งยังสามารถลดเลือนรอยแดงต่าง ๆ ให้แลดูจางลง เสริมความแข็งแกร่งของผิวด้วยวิตามินอี (ไนอะซินนาไมด์) ซึ่งทำหน้าที่มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้า โดยผสานการทำงานร่วมกับ NEUROSENSINE™ (dipeptide) ซึ่งช่วยเสริมกำลังการปลอบประโลมผิวและปรับสมดุลให้ผิวหน้า ช่วยให้ผิวหน้าแลดูกระชับ และแลดูผิวที่เนียนละเอียดมากยิ่งขึ้น พร้อมมอบผิวสวยที่มีสีผิวแลดูสม่ำเสมอ และแลดูสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น 


ขั้นตอนการบำรุงผิวด้วยอิมัลชั่นขวดนี้ก็ง่ายแสนง่าย โดยเราขอแนะนำให้ใช้ภายหลังจากใช้ LIFE PLANKTON™ ESSENCE หรือ LIFE PLANKTON™ ELIXIR เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงนำ Life Plankton™ Sensitive Emulsion เทลงบนฝ่ามือ ต่อด้วยการใช้ปลายนิ้วเกลี่ยครีมเบา ๆ จากนั้นก็ลูบไล้ให้ทั่วทั้งใบหน้า โดยเริ่มจากแก้ม จมูก และหน้าผากตามลำดับ ต่อด้วยลูบไล้ตามแนวของกระดูก รวมถึงนวดวนบริเวณขมับเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แล้วทุกคนจะรู้สึกถึงความเบาสบายผิวและค้นพบว่าผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 


สำหรับใครที่มีผิวแพ้ง่าย ต้องการผลิตภัณฑ์ผิวที่ดีต่อผิวบอบบางแพ้ง่ายสามารถจับจองเป็นเจ้าของอิมัลชั่นขวดนี้ได้ในราคา 1,900 บาท ในปริมาณ 75 ml ซึ่งราคาค่อนข้างโดนใจเพราะคุณสมบัติภายในอิมัลชั่นขวดนี้ค่อนข้างแน่นเลยทีเดียว 


หรือหากสนใจสั่งซื้อสินค้ารวมถึงสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมของอิมัลชั่น และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Biotherm สามารถสอบถามได้ทั้งที่เคาน์เตอร์ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงช่องทางโซเชียล มีเดียของ Biotherm แต่หากต้องการสั่งซื้อสินค้าสามารถสั่งซื้อทางช่องทางออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.biotherm.co.th/ แล้วมามีผิวสวยสุขภาพดีด้วยกันนะคะ

หน้า: 1 ... 611 612 [613] 614 615 ... 952